การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ไปทั่วโลก หนักหนาสาหัสทีเดียว ณ เวลานี้ ผู้คนติดเชื้อและล้มตายเป็นจำนวนมาก ไม่สามารถคาดเดาได้เจ้าเชื้อไวรัสร้ายตัวนี้ จะหยุดจองเวรกับมวลมนุษย์เมื่อใด และแน่นอนได้ทำให้ชีวิตผู้คนเปลี่ยนไป ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงทางอ้อม ในกลุ่มคนที่มีงานทำต้องทำงานอยู่ที่บ้าน บ้างก็ตกงาน ไม่มีเงิน ชีวิตเต็มไปด้วยความยากลำบาก เพราะธุรกิจหยุดชะงัก และอีกหลายๆ ปัญหาตามมา
“ดร.ภูษิต วงศ์หล่อสายชล” รองคณบดีฝ่ายบริหาร วิทยาลัยผู้ประกอบการ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย พูดคุยกับ "ทีมข่าวเจาะประเด็นไทยรัฐออนไลน์" ว่า เชื้อไวรัสโควิดที่ระบาดหนักจะทำให้โลกเปลี่ยนอย่างแน่นอน อันดับแรกเมื่อเชื้อโควิดเข้ามา ได้ทำให้พฤติกรรมการดำรงชีพ การดำรงชีวิตของคนเราไม่เหมือนเดิมแล้ว จากปกติต้องเดินทางไปทำงาน แต่มาวันนี้คนส่วนใหญ่ต้องเปลี่ยนมาทำงานที่บ้านหรือเวิร์ค ฟอร์ม โฮม ทำให้การเดินทางต่างๆหายไป และได้ทำให้ค่าใช้จ่ายในการเดินทางหายไปเช่นกัน แต่กลับกันได้ทำให้ค่าใช้จ่ายทั้งค่าน้ำ ค่าไฟเพิ่มขึ้นมา “ทำงานที่บ้าน เปิดแอร์ทั้งวัน ได้กระทบต่อเงินในกระเป๋าของพวกเรา"
ส่วนวิธีการทำงานจากที่มีการพูดคุยกันในห้องประชุม ได้เปลี่ยนมาประชุมทางออนไลน์ ซึ่งการทำงานต่อไปนี้ในอนาคตจะไม่ต้องรอใครเข้าห้องประชุมพร้อมๆ กัน เพราะมีวิธีการประชุมแบบออนไลน์เข้ามาแทนที่ไปแล้ว ดังนั้นจากเดิมที่ออฟฟิศเคยจ่ายสวัสดิการค่าน้ำมันค่าเดินทาง จะเปลี่ยนมาเป็นค่าน้ำค่าไฟแทน
อีกสิ่งหนึ่งที่จะเปลี่ยนไปในเรื่อง “แอสเสท ไลท์” (Asset Light) เป็นการบริหารสินทรัพย์มากกว่าลงทุนสินทรัพย์ให้เป็นของตัวเอง อาจเปลี่ยนเป็นการเช่าสำนักงานใช้พื้นที่ที่น้อยลง เนื่องจากไม่ต้องใช้โต๊ะทำงานเป็นจำนวนมากให้พนักงานทำงานเหมือนที่เคยเป็น เพื่อลดค่าใช้จ่ายประจำ
ขณะที่ห้างสรรพสินค้าทั้งหลาย จะได้รับผลกระทบจากเชื้อโควิด เช่นกัน จากเดิมที่คนต้องไปกินอาหารที่ร้านภายในห้าง แต่ต่อไปจะมีการเปลี่ยนแปลง หรือในอนาคตไม่จำเป็นต้องมีห้างสรรพสินค้าก็ได้ เพราะคนส่วนใหญ่นิยมสั่งทางเดลิเวอรี่ หรือไดรฟ์-อิน เข้ามา ซึ่งโดยปกติพื้นที่ห้างส่วนใหญ่เป็นร้านอาหาร และสาขาของแบงก์ แต่ต่อไปคนจะหันมาใช้อี-เปย์เม้นท์ ทำให้แบงก์ต่างๆ ต้องหายไปจากห้าง และท้ายสุดแล้วห้างต่างๆ จะเปลี่ยนไปเป็นอี-คอมเมิร์ซ
“บางคนเปลี่ยนแปลงและปรับตัวได้แล้ว และบางคนเปลี่ยนเพราะโควิด ดิสรัปชั่น ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกลายเป็นโลกใหม่หลังโควิดหมดไป เป็นโลกที่ไม่มีใครเคยจินตนาการมาก่อน กลายเป็นว่าตอนนี้ต่างคนต่างทำงาน ไม่จำเป็นต้องเจอกัน และมีระบบไอทีเข้ามาเกี่ยวข้อง หากโควิดยืดยาวไปอีก 3-4 เดือน จะทำให้พฤติกรรมคนเปลี่ยนไปแน่นอน หากอยู่ในสถานการณ์นี้นานๆ ผู้คนจะเปลี่ยนไปตามธรรมชาติ”
หรือสิ่งใกล้ตัวพวกสิ่งของบริโภค สิ่งของฟุ่มเฟือยต่างๆ จะหายไป เพราะโควิด เนื่องจากอยู่บ้านไม่จำเป็นต้องใช้สิ่งของเหล่านั้น ทำให้พฤติกรรมบริโภคของคนเปลี่ยนไป รวมถึงวิธีการออกกำลังกายจะเปลี่ยนไปด้วย จากเดิมต้องไปวิ่งในสวนสาธารณะ จะเปลี่ยนมาซื้ออุปกรณ์ต่างๆ ใช้ออกกำลังกายในที่พักอาศัย
ส่วนเรื่องการท่องเที่ยวของไทย จากเดิมที่เคยประเมินว่าไตรมาส 1 ปีนี้จะดีขึ้น แต่ขณะนี้ไม่ใช่แล้วเพราะเชื้อโควิดระบาดหนัก จะทำให้นักท่องเที่ยวหายไปอย่างถล่มทลาย ขณะที่ศูนย์วิจัยไทยพาณิชย์ ได้บอกว่าผลกระทบต่อการท่องเที่ยวจะทำให้นักท่องเที่ยวในประเทศหายไปครึ่งหนึ่ง ส่วนนักท่องเที่ยวต่างประเทศจะลดเป็นศูนย์ ตั้งแต่เดือน มี.ค.เป็นต้นไป หมายความว่ารายได้ส่วนนี้ของไทยหายไป จะทำให้อัตราคนว่างงานเพิ่มสูงขึ้น ทั้งธุรกิจแอร์พอร์ต ธุรกิจท่องเที่ยวและร้านค้า
“ผลการวิจัยพบว่าคนไทยมีเงินสดพอใช้มากกว่า 3 เดือน มีอยู่ไม่เยอะ แต่มีประมาณครึ่งหนึ่งมีเงินพอใช้ 2.1 เดือนเท่านั้น ไม่ถึง 3 เดือน และหลังจากนั้นเงินหมด จึงเป็นเหตุผลที่รัฐบาลแจกเงิน 5 พัน เป็นเวลา 6 เดือน เพราะอัตราคนว่างงานส่วนใหญ่จะเป็นคนหาเช้ากินค่ำ ตรงนี้น่ากลัว คนพวกนี้ไม่มีเงินเก็บ เพราะฉะนั้นเงิน 5 พันจึงมีความสำคัญ ไม่อยากให้คนที่ไม่เดือดร้อนจริงๆ มารับเงิน ทุกอย่างอยู่ที่จิตสำนึก”
สรุปว่าการเข้ามาของเชื้อโควิด ทำให้พฤติกรรมคนเปลี่ยนแน่นอน รวมถึงธุรกิจจะต้องเปลี่ยนไป ซึ่งเจ้าของธุรกิจต้องเปลี่ยนวิธีคิด ปรับมายด์เซ็ตของตัวเอง พร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ไม่ใช่ไม่รับรู้ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น และต้องน้อมรับคำแนะนำเพื่อนำไปปฏิบัติ หรือบางคนอยากทำความล้มเหลว มองให้เป็นขนมหวานในการพัฒนาวิธีคิดของตัวเองให้เปลี่ยนไปให้ดีที่สุด.