ไม่ต้องกลัวเจลล้างมือขาดตลาด! หลังปลดล็อกให้นำเอทานอลที่ใช้ผลิตเชื้อเพลิง ไปผลิตเจลล้างมือได้ โดยไม่ต้องรอความเห็นชอบจากพลังงาน ทำให้มีแอลกอฮอล์มาผลิตเพิ่มอีกวันละ 1 ล้านลิตร ขณะที่สรรพสามิต–ธ.ออมสินรอแจกทั่วไทย ส่วนหน้ากากอนามัยก็ผลิตเพิ่มเป็นวันละ 1.71 ล้านชิ้น จัดสรรให้ส่วนต่างๆ ได้เพิ่มขึ้น ด้าน ส.อ.ท.กระทุ้งรัฐ เลิกคุมราคาหน้ากากอนามัยที่ชิ้นละ 2.50 บาท ให้ปล่อยตามกลไกตลาด แต่สนับสนุนด้านภาษี เพื่อให้เกิดการแข่งขัน คุณภาพราคา หวังสกัดหน้ากากใต้ดินราคาแพง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ได้ทำหนังสือถึงอธิบดีกรมสรรพสามิต เพื่อแจ้งให้พิจารณาอนุญาตนำเอทานอลที่ใช้เป็นเชื้อเพลิง สามารถนำไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดมือ (เจลล้างมือ) ได้ โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากกระทรวงพลังงาน เพื่อลดขั้นตอนที่ยุ่งยาก ซึ่งจะทำให้มีปริมาณแอลกอฮอล์เข้าสู่ระบบเพิ่มอีก 1 ล้านลิตรต่อวัน เพียงพอที่จะดูแลประชาชนในการรับมือการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
ทั้งนี้ กระทรวงพลังงานและกรมสรรพสามิต ได้ร่วมกันปลดล็อกในการนำเอทานอลส่วนเกินจากโรงงาน 26 แห่งที่มีอยู่มาป้อนให้กับผู้ผลิตเจลล้างมือ โดยขั้นตอนผู้ผลิตเจลล้างมือหรือแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อ เดิมต้องให้กระทรวงพลังงานจัดสรรปริมาณ แล้วจึงไปแจ้งกรมสรรพสามิต ทำให้จากนี้ไปไม่ต้องมาแจ้งให้กระทรวงพลังงานแล้ว สามารถไปติดต่อกรมสรรพสามิตโดยตรงจุดเดียว และกรมสรรพสามิตจะรายงานสรุปปริมาณที่อนุญาต เพื่อติดตามปริมาณเอทานอลให้สมดุลกับ พพ.เท่านั้น คาดว่าสัปดาห์หน้าเจลล้างมือจะทยอยออกมาสู่ตลาดผู้บริโภคได้
นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมสรรพสามิต และประธานกรรมการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า สัปดาห์หน้าจะประชุมกับโรงพยาบาลทั่วประเทศ ที่ขาดแคลนผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดมือ และแอลกอฮอล์ทำความสะอาดพื้นที่ใช้ในโรงพยาบาล โดยกรมจะประสานองค์การสุราเพื่อจัดสรรให้โรงพยาบาลเพิ่มเติม ทั้งนี้ ขอยืนยันว่าประเทศไทยมีแอลกอฮอล์เพื่อใช้ผลิตเจลทำความสะอาดมือเพียงพอต่อความต้องการ และวันที่ 27 มี.ค.นี้ กรมจะเริ่มแจกแอลกอฮอล์ล้างมือให้ประชาชน 300,000 ลิตร ที่สำนักงานสรรพสามิตทั่วประเทศจำนวน 100 ลิตรต่อวัน ซึ่งประชาชนสามารถนำภาชนะมาขอรับได้คนละไม่เกิน 1 ลิตรต่อวัน
นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า องค์การสุรา กรมสรรพสามิต กำลังเร่งผลิตแอลกอฮอล์สเปรย์เพื่อทำความสะอาดมือจำนวน 1 ล้านชิ้น ขนาด 25 มิลลิลิตร ให้แล้วเสร็จวันที่ 24 มี.ค.นี้ จากนั้นจะจัดส่งให้สาขาธนาคารออมสิน 1,060 สาขาทั่วประเทศ สาขาละ 400-600 หลอด เพื่อนำไปแจกจ่ายให้ประชาชนวันที่ 27 มี.ค.และ 10 เม.ย.นี้ เวลา 09.00 น. ลอตละ 500,000 ชิ้น โดยจะแจกคนละ 1 ชิ้น คาดว่าภายใน 1 ชั่วโมงจะแจกได้หมดเกลี้ยง
ด้านนายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า หลังขอความร่วมมือโรงงานผลิตหน้ากากอนามัยทั้ง 11 แห่ง ให้ปรับสายการผลิตจากการผลิตหน้ากากชนิดอื่น เช่น หน้ากากคาร์บอน และ N 95 มาเป็นการผลิตหน้ากากอนามัย ทำให้มีหน้ากากอนามัยเพิ่มขึ้นจากเดิม 1.2 ล้านชิ้น เป็น 1.71 ล้านชิ้นต่อวัน ทำให้เพิ่มการกระจายให้กระทรวงสาธารณสุขและให้ผู้ที่จำเป็นต้องใช้และประชาชนได้มากขึ้น โดยในส่วนของกระทรวง สาธารณสุขเพิ่มเป็นวันละ 900,000 ชิ้น ขณะที่กรมการค้าภายในจะกระจายไปให้ประชาชนจำนวน 810,000 ชิ้น โดยขายหน้ากากอนามัยบรรจุแพ็ก 4 ชิ้น แพ็กละ 10 บาท ผ่านร้านธงฟ้าและร้านขายยา 200,000 ชิ้น, เทสโก้โลตัส (180 สาขา) 100,000 ชิ้น, แม็คโคร (95 สาขา) 100,000 ชิ้น, บิ๊กซี (150 สาขา) 100,000 ชิ้น, วิลล่ามาร์เกต (36 สาขา) 60,000 ชิ้น, ท็อปส์ (204 สาขา) 100,000 ชิ้นชิ้น, สมาคมร้านขายยา 15,000 ชิ้น, สมาคมเภสัชกรรมชุมชน 10,000 ชิ้น, 7-11 จำนวน 120,000 ชิ้น และกลุ่มเสี่ยงอื่นๆ 5,000 ชิ้น
ทั้งนี้ ล่าสุดทางคาเฟ่ อเมซอน จะเข้ามาร่วมเป็นช่องทางกระจายหน้ากากอนามัยด้วย
นายวิชัยกล่าวถึงปัญหาการจำหน่ายในร้านสะดวกซื้อที่มีพนักงานซื้อสินค้าแล้วนำมาขายเองนั้น ได้มีการกำหนดกติกาแล้ว คือ ห้ามพนักงานของร้านทุกร้านซื้อ ถ้าปฏิบัติไม่ได้จะไม่ส่งสินค้าให้ขายอีก ห้ามเปิดขายตอนกลางคืน เพราะขายแล้วแทนที่คนทั่วไปจะได้ซื้อ กลายเป็นว่าพนักงานขายซื้อกันไปหมด และขอให้ตรวจสอบบัตรประชาชน เพื่อป้องกันการวนซื้อด้วย
ด้านนายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยหลังมอบหน้ากากผ้า 100,000 ชิ้น ให้กับบุคลากรทางการแพทย์ในโรงพยาบาลของรัฐ 10 แห่งว่า หน้ากากผ้าผ่านการรับรองคุณภาพผ้าจากสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ และสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมว่ามีคุณสมบัติป้องกันละอองสารคัดหลั่งจากการไอหรือจามของผู้สวมใส่ (ขนาด 50-5 ไมครอน) สามารถซักและนำกลับมาใช้ซ้ำเพื่อลดขยะได้ โดย ส.อ.ท.จะผลิตหน้ากากผ้าให้ลูกจ้างในโรงงานขนาดเล็กทั่วประเทศ คาดว่ามีความต้องการ 1 ล้านชิ้น
นายสุพันธุ์ กล่าวต่อว่า จากการติดตามสถานการณ์หน้ากากอนามัยทางการแพทย์ เชื่อว่านอกจากกำลังผลิตหลักที่ทราบกันคือ 36 ล้านชิ้นต่อเดือนแล้ว น่าจะมีกำลังผลิตแบบใต้ดิน คือ ผู้ประกอบการบางรายอาจเร่งผลิตแบบไม่หยุดพักเครื่องจักร เพื่อตอบสนองความต้องการผู้บริโภค ที่ไม่เกี่ยงด้านราคาแต่ขอให้ได้สินค้า ดังนั้น เพื่อให้วงจรนี้หมดไป รัฐบาลควรเลิกกำหนดราคาหน้ากากทางการแพทย์แค่ 2.50 บาทต่อชิ้น เพราะปัจจุบันต้นทุนเพิ่มขึ้นมากจากวัตถุดิบนำเข้าที่สูงขึ้น ควรปล่อยให้ราคาหน้ากากเป็นไปตามกลไก และออกมาตรการภาษีสนับสนุนเพื่อให้เกิดการแข่งขันด้านราคาและคุณภาพ ให้ผู้บริโภคตัดสินใจเอง วิธีนี้น่าจะทำให้การผลิตเพียงพอ ลดความตื่นตระหนกของประชาชนและทำให้สถานการณ์คลี่คลาย “ส่วนผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยนั้น
คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประเมินว่าผลกระทบจากโควิด-19 จะยาวถึงเดือน พ.ค.-มิ.ย. มูลค่าความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจ 400,000 ล้านบาท หลัง ครม.มีมาตรการช่วยเหลือกลุ่มธุรกิจและลูกจ้างออกมา จะขอติดตามสถานการณ์อีกระยะ หากยังไม่คลี่คลายจะเสนอรัฐให้ออกมาตรการเพิ่มเติม เพื่อดูแลทุกกลุ่มที่ได้รับผลกระทบ”.