"สลิมคอนเซ็ป" ปรับตัวหนี "ดิสรัป"

เป็นที่รู้กันดีว่าวงจรของธุรกิจมีขึ้นมีลงตามสภาพเศรษฐกิจ แต่ธุรกิจจะกระทบมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับว่าเจ้าของธุรกิจนั้นได้คิดหาทางออก หรือแสวงหาโอกาสใหม่ๆในการรับมือช่วงขาลงไว้ล่วงหน้าอย่างไร

เพราะความไม่ประมาททำให้ “สลิมคอนเซ็ป” ธุรกิจสุขภาพความงามที่เปิดบริการอยู่ในศูนย์การค้า ได้แสวงหาช่องทางใหม่ๆ ไม่ปิดกั้นตัวเองและมองไกลไปยังหนทางที่มีความเป็นไปได้เสมอ

ล่าสุดในท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจขาลง สลิมคอนเซ็ปที่อยู่ในตลาดมากว่า 10 ปีแล้วก็ถึงเวลาบุกตลาดต่างประเทศจับมือพันธมิตรด้วยการเดินหน้าเข้าตลาดหุ้นลอนดอนระดมทุนยกระดับสู่โกลบอลแบรนด์เต็มรูปแบบ ชูความแตกต่างนำเสนอจุดแข็งด้านความพร้อมบริการของบุคลากรผสานเทคโนโลยี พร้อมปรับตัวรับยุค “ดิสรัป” เปิดมาร์เกตเพลสจำหน่ายสินค้าด้านสุขภาพความงามเพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคยุคดิจิทัล และมั่นใจว่ายังสามารถที่จะเติบโตต่อเนื่องปีละ 50%

นางสาวปุณณภา เตชะโรจน์กุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท สลิมคอนเซ็ป คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้บริหารธุรกิจสุขภาพและความงามชั้นนำภายใต้ชื่อ สลิมคอนเซ็ป และ มาริซ่า คลีนิค กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทก้าวสู่ปีที่ 13 ซึ่งทางบริษัทมีแผนงานขยายตลาดแบบก้าวกระโดดไปสู่ Global Brand ในลักษณะ “Strategic Move” กับบริษัท WH Ireland Ltd. เป็น Nominated Advisor และ U.K. Regulator ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินของบริษัทจดทะเบียนในอังกฤษ

เพื่อทำหน้าที่ชี้แนะแนวทาง ส่งเสริมและอนุมัติบริษัทที่มีการเติบโตและเข้าหลักเกณฑ์มาตรฐานของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งขณะนี้ได้มีการเซ็นบันทึกความร่วมมือเรียบร้อยแล้ว อยู่ในขั้นตอนการดำเนินงานด้านเอกสารตามลำดับในการนำพาบริษัทเข้าจดทะเบียนเพื่อระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน ในส่วนของตลาด AIM : Alternative Investment Market (AIM) ตลาดรองสำหรับธุรกิจขนาดเล็กและขนาดย่อมของ London Stock Exchange (LSE) นับเป็นบริษัทแรกจากประเทศไทย คาดว่าจะสามารถประกาศแผนงานหลังระดมทุนได้อย่างเป็นทางการในเดือน ก.ย.2563

นางสาวปุณณภา กล่าวถึงกลยุทธ์แผนงานด้านการขยายธุรกิจในภาพรวม ว่า บริษัทมีความคาดหวังว่าการเข้าระดมทุนในตลาดหุ้นลอนดอนครั้งนี้จะทำให้สามารถระดมทุนจากมาร์เกตแคป ขนาด 3,000 ล้านบาทซึ่งจะช่วยให้บริษัท สามารถยกระดับขนาดธุรกิจให้เติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนมากขึ้น เป็นไปตามแผนงานระยะ 3-5 ปีเริ่มตั้งแต่ปี 2563-2566 โดยกลยุทธ์หลักคือ มุ่งมั่นขยายธุรกิจที่เริ่มเติบโตจากสถาบันความงามไปสู่บริษัทที่มีความเชี่ยวชาญด้านสุขภาพความงามอย่างยั่งยืน

โดยแบ่งกลุ่มเป้าหมายหลักเป็น 4 ระดับ ได้แก่ 1.ผู้รับบริการ 2.ผู้ให้บริการ พนักงานและ ผู้เชี่ยวชาญศาสตร์สุขภาพและความงาม 3.ผู้ร่วมธุรกิจ หรือแฟรนไชส์ 4.ผู้ถือหุ้น ภายใต้พันธกิจและคำมั่นสัญญาที่เรียกว่า “Global Moving Together” การมุ่งมั่นยกระดับการบริหารจัดการ การให้บริการสู่มาตรฐานโลก

สำหรับมูลค่าตลาดรวมด้านความงามในประเทศไทย มีตัวเลขประเมินกันในวงการว่าไม่ต่ำกว่า 30,000 ล้านบาท ในขณะที่ตลาดรวมสุขภาพและความงามทั่วโลกคือด้าน Healthy Wellness & Spa มีมูลค่ากว่า 900,000 ล้านบาท ซึ่งมีขนาดตลาดใหญ่มาก ส่วนในประเทศไทยถ้ารวมทั้งอุตสาหกรรมด้านสุขภาพและความงามมีมูลค่าสูงถึง 250,000 ล้านบาท มีอัตราเติบโตต่อเนื่อง 15-20% ทุกปี

รวมถึงการที่รัฐบาลเร่งผลักดันร่างยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศไทยเป็นศูนย์กลางสุขภาพของโลก ซึ่งจะช่วยให้อุตสาหกรรมสุขภาพและความงามเติบโตต่อเนื่อง.

วานิชหนุ่ม
wanich@thairath.co.th