นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) เปิดเผยว่า ปีนี้ กกพ.ยังคงติดตามต้นทุนค่าไฟฟ้าอย่างใกล้ชิด เพื่อดูแล ไม่ให้ค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (เอฟที) ส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพประชาชน โดยมีความเป็นไปได้ที่จะดูแลค่าเอฟทีให้ประชาชนได้อีก 2 งวดที่เหลือของปีนี้ คืองวดเดือน พ.ค-ส.ค. และงวดเดือน ก.ย.-ธ.ค. โดยให้คงอัตราปัจจุบันคือค่าเอฟทีและค่าไฟฟ้าฐานรวมกันอยู่ที่ 3.640 บาทต่อหน่วย เนื่องจากยังมีวงเงินคงเหลือของ 3 การไฟฟ้า ที่ขอนำไปลงทุนแต่ไม่มีการลงทุนตามแผนที่กำหนดไว้อีก 1,000 ล้านบาท ที่สามารถนำมาดูแลค่าเอฟทีให้กับประชาชนได้
นายคมกฤช กล่าวว่า จากนี้ไป กกพ.ต้องมาดูที่ต้นทุนเชื้อเพลิงของการผลิตไฟฟ้าเป็นสำคัญ เพราะขณะนี้แนวโน้มเป็นไปในทิศทางบวก เพราะราคาก๊าซธรรมชาติที่เป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้า ยังมีราคาลดลงตามราคาน้ำมันตลาดโลก ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นทำให้การซื้อเชื้อเพลิงและซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศถูกลง มีเพียงปัจจัยลบที่มีความเสี่ยงที่ทำให้ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าอาจเพิ่มขึ้น คือการเดินเครื่องโรงไฟฟ้าจากพลังงานน้ำของประเทศไทยที่เริ่มลดลงเพราะปัญหาภัยแล้ง ที่หากต้องมีการเดินเครื่องโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ จะทำให้มีต้นทุนผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้น
สำหรับความคืบหน้าการปรับโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าฐาน ล่าสุด กกพ.อยู่ระหว่างศึกษา คาดว่าจะเปิดรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภายในไตรมาส 3-4 ปีนี้ และประกาศใช้โครงสร้างค่าไฟฟ้าฐานใหม่ตั้งแต่ 1 ม.ค.64 ซึ่งโครงสร้างใหม่จะมุ่งทำให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีผลิตไฟฟ้าที่ทำให้เกิดพฤติกรรมของผู้ใช้ไฟฟ้ารูปแบบใหม่ เช่น ผู้ผลิตเองใช้เอง (Prosumer)
ทั้งนี้ ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เดือน มี.ค.นี้ กกพ.จะขอความเห็นชอบการยกเว้นนโยบายโครงสร้างกิจการไฟฟ้า ที่กำหนดให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นผู้ซื้อไฟฟ้าเพียงรายเดียวแบบ Enhancing Single Buyer (ESB) ที่จะมีผลในทางปฏิบัติเดือน เม.ย.นี้ เพื่อสนับสนุนการเปิดตลาดซื้อขายไฟฟ้ารูปแบบใหม่ที่เรียกว่า Peer to Peer Energy Trading หรือระบบการซื้อขายไฟฟ้ากันเองระหว่างประชาชนกับประชาชน หรือระหว่างโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนกับชุมชนโดยรอบในพื้นที่ เพื่อเป็นโครงการนำร่องในการทดสอบนวัตกรรมที่นำเทคโนโลยีมาสนับสนุนการบริหารพลังงาน (ERC Sandbox) ได้รวดเร็วขึ้น.