นายกีรติ รัชโน อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยถึงการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ความตกลงการค้าเสรี (FTA) ของไทยกับประเทศคู่เอฟทีเอ ในช่วง 9 เดือน (ม.ค.-ก.ย.) ปี 62 ว่า มีมูลค่า 50,312.06 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็น 78.25% ของมูลค่าการส่งออกรวมในสินค้าที่ได้รับสิทธิ ซึ่งมีมูลค่าทั้งสิ้น 64,296.03 ล้านเหรียญ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 61 ลดลง 3.41% ตามการส่งออกภาพรวมของไทยที่ลดลง จากผลกระทบของสงครามการค้าและเศรษฐกิจโลก รวมถึงเศรษฐกิจคู่ค้าชะลอตัว
สำหรับตลาดที่ไทยส่งออกโดยมีมูลค่าการใช้สิทธิสูงสุด 5 อันดับแรกยังคงเป็นอาเซียน 18,680.23 ล้านเหรียญ ตามด้วยจีน 13,757.61 ล้านเหรียญ, ออสเตรเลีย 6,030.61 ล้านเหรียญ, ญี่ปุ่น 5,724.62 ล้านเหรียญ และอินเดีย 3,345.33 ล้านเหรียญ สำหรับสินค้าที่มีมูลค่าการใช้สิทธิสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ รถบรรทุก, ทุเรียนสด, ผลิตภัณฑ์ยางสังเคราะห์ผสมยางธรรมชาติ, ผลไม้ประเภทฝรั่ง มะม่วง และมังคุดสดหรือแห้ง และน้ำตาลจากอ้อย
อย่างไรก็ตาม แม้มูลค่าการใช้สิทธิภายใต้เอฟทีเอในภาพรวมลดลง แต่ยังมีตลาดศักยภาพในการส่งออกที่การใช้สิทธิขยายตัวต่อเนื่อง เช่น เปรู การใช้สิทธิขยายตัว 24.65% มีการส่งออกเพิ่มขึ้นในสินค้าบางรายการ เช่น ถุงมือใช้ในทางศัลยกรรม, รถจักรยานยนต์ความจุกระบอกสูบ 250-500 ลบ.ซม., เครื่องใช้บนโต๊ะอาหารและเครื่องครัว เป็นต้น ตามด้วย นิวซีแลนด์ ขยายตัว 4.96% มีการส่งออกเพิ่มขึ้น เช่น เครื่องประดับที่ทำจากเงิน, สิ่งก่อสร้างและส่วนประกอบอื่นๆ แผ่นฟิล์มทำด้วยพลาสติก เป็นต้น
ส่วนตลาดที่ใช้สิทธิลดลง ได้แก่ ออสเตรเลีย ชิลี เกาหลี และอาเซียน (9 ประเทศ) แต่การใช้สิทธิส่งออกไปกัมพูชา ลาว เวียดนาม ยังคงเพิ่มขึ้น โดยกัมพูชา มีมูลค่าใช้สิทธิ 876.32 ล้านเหรียญ ขยายตัว 27.40%, ลาว มีมูลค่าใช้สิทธิ 329.44 ล้านเหรียญ ขยายตัว 3.47% และเวียดนาม 5,707.02 ล้านเหรียญ ขยายตัว 0.11% ทั้งนี้ กรมจะเดินหน้าให้ความรู้ผู้ประกอบการเพื่อส่งเสริมการค้า และการใช้สิทธิประโยชน์เอฟทีเอสร้างแต้มต่อการส่งออกเหนือคู่แข่ง.