นายบุรณิน รัตนสมบัติ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่วางแผน บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ เปิดเผยว่า โออาร์ได้ร่วมมือกับบริษัท อีวีโซไซตี้ จำกัด ลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยโครงการความร่วมมือศึกษาและพัฒนารูปแบบธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการยานยนต์ไฟฟ้าประเภทแบตเตอรี่ (BEV) เพื่อร่วมศึกษาและพัฒนารูปแบบธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการด้านยานยนต์ไฟฟ้า BEV อย่างครบวงจร ทั้งนี้ จากแนวโน้มการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง อีกทั้งค่ายรถยนต์ในไทยได้เปิดตัวยานยนต์ไฟฟ้าประเภทแบตเตอรี่หลายรุ่น ในราคาที่แข่งขันได้กับราคารถยนต์ทั่วไป ทำให้ยานยนต์ไฟฟ้า BEV เป็นหนึ่งทางเลือกของผู้บริโภค อีกทั้งรัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) และยานยนต์ BEV
ดังนั้น โออาร์จึงได้ขยายขอบเขตการให้บริการด้านพลังงานให้ครอบคลุมไปถึงยานยนต์ไฟฟ้า โดยเปิดให้บริการสถานีอัดประจุไฟฟ้า ภายในสถานีบริการน้ำมันพีทีที สเตชั่น 17 แห่งทั่วประเทศ และมีแผนขยายเพิ่มต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังได้ฝึกอบรมให้ความรู้แก่ช่างของศูนย์บริการรถยนต์ฟิต ออโต้ (FIT Auto) ให้รองรับการตรวจสภาพและซ่อมบำรุงรักษายานยนต์ไฟฟ้า เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภค และได้พัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องชาร์จไฟฟ้าแบบติดผนัง (EV Charger) ที่ได้มาตรฐานระดับสากล
นายอดิทัต วะสีนนท์ รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.)เผยว่า ปีนี้ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ในไทยจะมีปริมาณเพิ่มขึ้นเพียง 30,000 คัน จากปีที่ผ่านมามี 20,204 คัน และคาดว่าปีหน้า ตลาดรถอีวีจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว โดย สศอ.จะส่งเสริมให้เกิดการผลิตรถยนต์ไฮบริดปลั๊กอินให้มากขึ้น เพื่อทำให้เกิดการจัดตั้งสถานีชาร์จไฟฟ้าเพิ่มขึ้น รองรับอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบในอนาคต ด้านนายอดิศักดิ์ โรหิตะศุน ผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์ กล่าวว่ารัฐบาลควรปรับปรุงโครงสร้างภาษีจากปัจจุบันที่เก็บภาษีรถยนต์ไฮบริดที่ 4% ส่วนรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่เก็บ 2% มองว่าระยะห่างของภาษีน้อยเกินไป ทำให้ค่ายรถยนต์หันไปผลิตรถยนต์ไฮบริดมากกว่า ขณะที่รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ราคาสูงกว่าไฮบริดมาก ทำให้การลงทุนของรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ทำได้ยากขึ้น.