นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม เปิดเผยภายหลังเป็นประธานประชุมร่วมคณะกรรมการประสานงานร่วมระหว่างไทย-เมียนมา เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย และพื้นที่ที่เกี่ยวข้องว่า ที่ประชุมได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและพิจารณาความคืบหน้าการดำเนินงานการพัฒนาโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย และพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง และร่วมหารือถึงแนวทางการพัฒนากลไกความร่วมมือสามฝ่าย (เมียนมา-ไทย-ญี่ปุ่น) เพื่อเร่งรัดการพัฒนาโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย ให้ดำเนินการได้ตามเป้าหมาย
“ยืนยันว่า รัฐบาลไทยจะมีการผลักดันโครงการท่าเรือน้ำลึกทวายต่อไป เนื่องจากการดำเนินการในโครงการดังกล่าว ถือเป็นแผนการพัฒนายุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีของประเทศไทย และยืนยันว่าให้ความสำคัญกับโครงการท่าเรือน้ำลึกทวายเป็นลำดับต้นๆ เพราะถือเป็นการพัฒนาที่จะนำมาสู่ความเปลี่ยนแปลงของอาเซียน”
ทั้งนี้ จะได้มีการนำเสนอต่อคณะกรรมการประสานงานร่วมระดับสูงระหว่างไทย-เมียนมา เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง (JHC) เพื่อให้ความเห็นชอบต่อไป โดยมีเป้าหมายผลักดันให้โครงการทวายเกิดขึ้นโดยเร็ว และในกลางปี 63 จะมีการประชุมร่วมกันเพื่อผลักดันโครงการอีกครั้ง ส่วนความร่วมมือระหว่างไทย และเมียนมา ที่ผ่านมาทางการไทยได้อนุมัติเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำให้กับเมียนมา เพื่อให้มีการก่อสร้างถนนจากพุน้ำร้อนเข้าสู่พื้นที่ทวาย
นายศักดิ์สยามกล่าวต่อว่า สำหรับประโยชน์ในการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกทวาย และเส้นทางคมนาคมขนส่งตามแนวระเบียงเศรษฐกิจ คาดว่า จะส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ของเมียนมา ให้โต 4.8% และของไทยโต 1.9% ซึ่งคาดว่าจะมีมูลค่าการค้ารวมตลอดแนวระเบียงเศรษฐกิจนี้สูงถึง 4 ล้านล้านบาท หรือ 1.2 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯต่อปี เกิดการสร้างงานภายในนิคมอุตสาหกรรมทวายประมาณ 900,000 คน และจะมีการจ้างงานรวมถึง 3 ล้านคน เมื่อรวมการลงทุนต่อเนื่องในระยะยาวเขตเศรษฐกิจพิเศษและท่าเรือน้ำลึกทวาย.