“บิ๊กตู่” สั่งเตรียมพร้อมหามาตรการรับมือสงครามการค้า–วิกฤติน้ำมัน หลังโลกปั่นป่วน ด้าน “สมคิด” ปลื้มปริ่มมาตรการรัฐดันราคายาง ปาล์มน้ำมันขึ้นได้ ขณะที่ราคาข้าวไม่มีปัญหา ขณะที่ “ศิริ” ไม่รับคำขอใช้กองทุนน้ำมันอุดหนุนเอ็นจีวี
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ รัฐบาลได้เตรียมออกมาตรการลดผลกระทบจากสงครามการค้า และความขัดแย้งเรื่องพลังงาน หลังจากที่มีข่าวการโจมตีเรือบรรทุกน้ำมัน โดยรัฐบาลได้เตรียมความพร้อมเอาไว้ทุกด้าน เพราะไทยเป็นประเทศเล็กๆ ยังไงก็มีผลกระทบไม่มากก็น้อย จึงต้องหารือร่วมกันว่า
จะทำอย่างไร นอกจากนี้ยังต้องติดตามราคาพืชผลการเกษตรต่อเนื่องด้วย
ด้านนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกฤษฎา บุญราช รมว.เกษตรและสหกรณ์ และนายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รมว.พลังงาน ได้รายงานที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ขณะนี้ราคาข้าว ยางพารา และปาล์มน้ำมัน ได้ปรับตัวขึ้นจากการดำเนินตามนโยบายของรัฐบาล โดยนายกฤษฎารายงานว่า จากมาตรการเข้าซื้อยางพาราในราคานำตลาดส่งผลให้
ราคายางพาราปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ราคา 60.05 บาทต่อกิโลกรัม (กก.) ซึ่งถือว่าสูงมากกว่าในช่วงหลายปี และเชื่อว่าอนาคตราคาก็จะขยับตัวสูงขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง ส่วนราคาข้าวอยู่ในระดับที่ชาวนารับได้ในปีนี้ไม่มีปัญหา แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลสามารถบริหารจัดการผลผลิตและราคาได้เป็นที่พอใจ
ด้านราคาปาล์มน้ำมันที่ปรับสูงขึ้นนั้น นายศิริก็ระบุว่า เป็นผลจากที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ซื้อน้ำมันปาล์มดิบ 200,000 ตัน มาผลิตไบโอดีเซลเพื่อใช้ในโรงไฟฟ้า แต่ในที่สุดซื้อแค่ 60,000 ตัน และดันราคาปาล์มขึ้นมาได้ ซึ่งถือเป็นการแก้ปัญหาแบบยั่งยืน เพราะต่อไปการผลิตไบโอดีเซลแบบบี 10 และบี 20 ต้องใช้น้ำมันปาล์มดิบอยู่ตลอดเป็นการซื้อชี้นำตลาดได้ ก็จะทำให้ราคาดีขึ้นเรื่อยๆ ถือว่านโยบายนี้ใช้ได้ผล อย่างไรก็ตาม ที่จะต้องปรับตัวต่อไปคือปั๊มก๊าซเอ็นจีวี ที่เดิมเกิดขึ้นมาได้จากที่ราคาน้ำมันแพง แต่ตอนนี้น้ำมันไบโอดีเซลมีต้นทุนที่ถูกกว่า อนาคตปั๊มเอ็นจีวีก็คงต้องปรับตัวไปตามกลไกการตลาด
นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ โฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ กล่าวว่า ครม.รับทราบผลการรายงานราคาสินค้าเกษตรที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะยางพารา และปาล์มน้ำมัน โดย ราคายางพาราปรับตัวสูงขึ้นจากมาตรการที่การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) และการรวมกลุ่มของเกษตรกรเข้าไปซื้อยางพาราในราคานำตลาด รวมทั้งการส่งเสริมการใช้ยางในประเทศให้มากขึ้น จากอดีตไทยใช้ยางพาราในประเทศ 500,000 ตันต่อปี หรือ 14% ของผลผลิตในประเทศ ปีนี้ใช้ยางในประเทศเพิ่มเป็น 800,000 ตันหรือสัดส่วน 17% และมีการส่งออก 4 ล้านตันต่อปี
ส่วนราคาปาล์มหลังจากรัฐบาลพยายามเพิ่มการใช้ในประเทศ โดยดูดซับผลผลิตออกจากระบบ ส่งผลให้ผลปาล์มดิบราคาปรับเพิ่มขึ้น 3.30-3.50 บาท/กก.ราคาน้ำมันดิบ (ซีพีโอ) อยู่ที่ราคา 19.75-20 บาทต่อลิตร ซึ่งจะสังเกตได้ว่าราคาน้ำมันดิบสะท้อนราคาผลปาล์มมากขึ้น แตกต่างจากอดีตที่ไม่สะท้อนราคาน้ำมันปาล์มดิบแต่อย่างใด
ขณะที่นายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รมว.พลังงาน เปิดเผยถึงกรณีที่สมาคมผู้ประกอบการก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์(เอ็นจีวี) เรียกร้องให้กระทรวงพลังงานทบทวนราคาขายปลีกเอ็นจีวี โดยต้องการให้ใช้กลไกกองทุนน้ำมันเข้ามาอุดหนุนราคาให้กับผู้ใช้รถยนต์เอ็นจีวี จากปัจจุบันที่ใช้นโยบายลอยตัวราคาตามตลาดโลก ว่า นโยบายการอุดหนุนราคาเอ็นจีวีไม่ควรมีต่อไปนอกจากราคาน้ำมันในภาพรวมของตลาดโลกก็มีทิศทางที่ต่ำลง ดังนั้น การลอยตัวราคาเอ็นจีวี จึงเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วคงไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด
“ขณะนี้ภาครัฐโดยบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) อุดหนุนราคาเอ็นจีวี ให้กลุ่มรถสาธารณะ เช่น รถโดยสาร รถแท็กซี่ รถตุ๊กๆ รถเมล์ ขสมก.ไปจนถึงสิ้นเดือน ม.ค.2563 ขณะที่การอุดหนุนราคาไบโอดีเซลบี 10 และบี 20 ให้ผู้ใช้รถยนต์เป็นการใช้เงินจากผู้ใช้น้ำมันไปอุดหนุน แตกต่างจากการอุดหนุนราคาเอ็นจีวี เพราะไม่ได้มีการเก็บเงินจากผู้ใช้เอ็นจีวี จึงเป็นเรื่องยากที่จะนำเงินของกองทุนน้ำมันไปอุดหนุนราคาเอ็นจีวีให้กับผู้ใช้กลุ่มอื่นๆเพิ่ม”
ส่วนการรับซื้อปาล์มน้ำมันของ กฟผ. นายศิริกล่าวว่า ได้ทำให้ราคาปาล์มน้ำมันได้ขยับขึ้นแล้ว กฟผ.ก็ไม่จำเป็นต้องซื้อให้ครบ 200,000 ตันตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยในเดือน พ.ค.รับซื้อไปแล้ว 66,000 ตัน ส่วนที่เหลืออีก 134,000 ตัน จะเป็นปริมาณที่ กฟผ.เข้าไปรับซื้อเพิ่มเป็นระยะๆตลอดปีนี้ ในช่วงเวลาที่ราคาปาล์มตกต่ำลง.