นายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รมว.พลังงาน เปิดเผยหลังการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ว่า กบง.รับทราบการเตรียมพร้อมแผนรองรับภาวะฉุกเฉินด้านพลังงาน ที่ล่าสุด ราคาน้ำมันตลาดโลกคลายความตึงเครียดลงแล้ว ประกอบกับสถานะกองทุนน้ำมันที่มี 35,000 ล้านบาท ยังสามารถใช้ดูแลราคาน้ำมันได้ เช่นเดียวกับราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) ที่กำหนดกรอบวงเงินดูแลราคาแอลพีจีครัวเรือนไม่เกิน 363 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม (กก.) ภายในวงเงินไม่เกิน 7,000 ล้านบาท โดยขณะนี้บัญชีแอลพีจีติดลบ 6,582 ล้านบาท จึงเพียงพอที่จะดูแลต่อไปได้อย่างน้อย 2-3 เดือนหากราคาแอลพีจีตลาดโลกยังเคลื่อนไหวระดับปัจจุบัน
“ราคาน้ำมันตลาดโลกที่เริ่มลดลง ทำให้สถานการณ์ราคาไม่ตึงเครียด ส่วนราคาแอลพีจี ทยอยลดลงมาอยู่ที่ 410 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ทำให้วงเงินบัญชีแอลพีจียังใช้ดูแลได้อย่างแน่นอน ถ้าไม่มีเหตุการณ์วิกฤติ หรือฉุกเฉินกะทันหัน ก็ไม่จำเป็นต้องประชุม กบง.อีกแล้ว ผมวางแนวทางต่างๆไว้พร้อมส่งมอบให้ รมว.พลังงานคนใหม่แล้ว”
อย่างไรก็ตาม หากเกิดวิกฤติน้ำมันขึ้นด้วยการปิดช่องแคบเฮอร์มุซ กระทรวงได้วางมาตรการดูแลครอบคลุมเรื่องหลัก 3 ด้าน ได้แก่ น้ำมันดิบต้องไม่ขาดแคลน โรงกลั่นต้องดำเนินการต่อเนื่อง และรายงานการผลิต และน้ำมันสำเร็จรูปต้องมีเพียงพอ ซึ่งตามกฎหมายสำรองน้ำมันของไทย ต้องมีสำรองให้ใช้ได้ 30-45 วัน ส่วนความคืบหน้าซื้อน้ำมันปาล์มดิบ (ซีพีโอ) ในส่วนที่เหลืออีก 54,700 ตัน เพื่อให้ครบ 100,000 ตันแรกนั้น วันที่ 28 พ.ค.นี้ จะเปิดให้โรงสกัดน้ำมันปาล์มทั้ง 149 รายยื่นเสนอราคา และวันที่ 29 พ.ค. จะประกาศรายชื่อผู้ชนะการเสนอราคาก่อนลงนามสัญญาวันที่ 31 พ.ค.นี้ สำหรับการที่ กฟผ.ซื้อซีพีโอจากโรงสกัด เพื่อให้โรงสกัดไปเร่งรับซื้อผลปาล์มสดจากเกษตรกร แล้วมาสกัดเป็นซีพีโอส่งมอบให้ กฟผ.นั้น ส่งผลให้ ล่าสุดราคาผลปาล์มสดปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อย.