นายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) เปิดเผยว่า ช่วงวันที่ 16-17 พ.ค.นี้ ผู้แทนจากธนาคารโลกได้เดินทางมารวบรวมและเก็บข้อมูลในการจัดอันดับความยาก-ง่ายในการประกอบธุรกิจ 2563 หรือ Doing Business 2002 โดยเมื่อวันที่ 16 พ.ค.ได้พบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ รวมถึงส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ และวันที่ 17 พ.ค.จะไปพบธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) และภาคเอกชนไทยและต่างประเทศ “ผลการจัดเก็บอันดับปี 63 คาดว่าจะดีขึ้นจากปี 62 ที่ได้รับการจัดอันดับที่ 27 จากก่อนหน้านี้ไทยถูกจัดอันดับอยู่ที่ 190 เมื่อปี 61 เนื่องจากการนำระบบดิจิทัลมาใช้หลายเรื่อง ทำให้การอำนวยความสะดวกของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจดีขึ้น คาดว่าปีนี้ส่วนราชการจะให้บริการเร็วขึ้น 30-40%”
นายปกรณ์ กล่าวต่อว่า ตัวชี้วัด 10 เรื่องที่สำคัญในการพิจารณาของธนาคารโลก อาทิ 1.การเริ่มต้นธุรกิจ ประเมินว่าจะใช้เวลาจัดตั้งบริษัทไม่เกิน 30 วัน ขณะที่นิวซีแลนด์ ซึ่งอยู่อันดับ 1 ใช้เวลาจัดตั้งบริษัท 5 วัน 2.การขออนุญาตก่อสร้าง มีการพัฒนาระบบอิเล็กทรอนิกส์ในการยื่นขออนุญาตการก่อสร้างและใบรับรองการก่อสร้างแล้ว ซึ่งเกี่ยวกับกรมโยธาธิการและผังเมือง กรมที่ดิน 3.การขอใช้ไฟฟ้า ได้ปรับปรุงระเบียบการขอใช้ไฟฟ้าจากเดิมต้องเสียเงิน 77,050 บาท ในการติดตั้งหม้อแปลงและเดินสายไฟฟ้า ลดเหลือ 2,500 บาท
4.การจดทะเบียนทรัพย์สิน ได้เชื่อมโยงข้อมูลระหว่างสำนักงานกรมที่ดินทั่วประเทศและกรมพัฒนาธุรกิจการค้า 5.การได้รับสินเชื่อ มีการส่งเสริมให้เอสเอ็มอีเข้าถึงระบบสินเชื่อสถาบันการเงินได้ง่ายและเร็วขึ้น 6.การคุ้มครองนักลงทุนเสียงข้างน้อย จะมีการแก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เพื่อให้ผู้ถือหุ้นใช้สิทธิเรียกประชุมวิสามัญจากเดิม 20% เหลือ 10% 7.การชำระภาษีมีการนำระบบชำระเงินอัตโนมัติ มาใช้ และเชื่อมโยงข้อมูลผ่านระบบดิจิทัล 8.การค้าระหว่างประเทศกรมศุลกากรได้พัฒนา National Single Window เพื่อลดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเตรียมเอกสาร เป็นต้น.