ดัชนีเชื่อมั่นธุรกิจค้าปลีก ทั้งส่วนกลางและภูมิภาค ซบเซา ชี้เศรษฐกิจโตไม่ทั่วถึง ทำกำลังซื้ออืด เจอผลกระทบภัยแล้งมาเร็ว ซ้ำการเมืองไม่นิ่ง จี้เร่งตั้งรัฐบาล สร้างเชื่อมั่นนักลงทุน...
เมื่อวันที่ 7 พ.ค. นางเสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการค้าปลีกสมัยใหม่ (โมเดิร์นเทรด) ไตรมาส 1 ปี 62 ว่า ดัชนีอยู่ที่ระดับ 51.5 ลดลงเล็กน้อยจาก 52.1 ในไตรมาส 4 ปี 61 โดยผู้ประกอบการขนาดใหญ่ ทั้งส่วนกลางและภูมิภาค มองว่าธุรกิจโมเดิร์นเทรดประสบปัญหาด้านเศรษฐกิจที่ขยายตัวไม่ทั่วถึง ส่งผลให้กำลังซื้อยังไม่กลับมาเป็นปกติ ประกอบกับต้นทุนสินค้าอยู่ในระดับสูงและได้รับผลกระทบจากการเมืองที่ยังไม่นิ่ง
นอกจากนี้ ยังได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ฝุ่นพิษพีเอ็ม 2.5, สถานการณ์ภัยแล้งที่มาเร็วและมีความรุนแรง ทำให้เกษตรกรมีต้นทุนในการจัดหาน้ำเพิ่มขึ้น, ราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้น, อัตราดอกเบี้ยนโยบายปรับตสูงขึ้น, ราคาสินค้าเกษตรยังคงอยู่ในระดับไม่สูง ส่งผลต่อระดับรายได้ของครัวเรือน และภาระหนี้สินของครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง เป็นต้น
ส่วนปัจจัยบวก เช่น การเลือกตั้ง, จำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศเดินทางเข้าไทยอย่างต่อเนื่อง, เทศกาลปีใหม่, ตรุษจีน ส่งผลต่อการจับจ่ายใช้สอยของประชาชน, นโยบายและมาตรการสวัสดิการของรัฐ เช่น บัตรคนจน ช็อปช่วยชาติ นโยบายลดภาษีเงินได้นิตินบุคคล เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการมีข้อเสนอให้รัฐบาลเร่งแก้ปัญหา คือ เร่งควบคุมราคาสินค้าอุปโภคบริโภคพื้นฐานไม่ให้สูงเกินไปและไม่เกิดการผันผวนด้านราคาขาย, เร่งจัดตั้งรัฐบาลเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน และอยากให้รัฐบาลมุ่งเน้นพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากเพื่อแก้ไขปัญหาความยากจน เพื่อให้มีกระแสเงินไหลเข้ามาใช้จ่ายในส่วนของภาคประชาชนมากขึ้น
"ปัจจุบันระบบการค้าของไทยมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 5-6% โดยมีมูลค่ามากกว่า 2.7 ล้านล้านบาท เป็นกลุ่มโมเดิร์นเทรด เติบโตต่อปี ที่ 7% หรือมีมูลค่ากว่า 1.8 ล้านล้านบาท ถือเป็นกลุ่มการค้าที่มีการเติบโตได้ดี ดังนั้นหากเทียบไตรมาสแรกปีนี้กับปีที่แล้วจะพบว่าการค้าขายในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ดีกว่าปีที่แล้ว"
ด้านนายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า หากครึ่งปีหลังจัดตั้งรัฐบาลชัดเจนและมีเสถียรภาพ เชื่อว่าการค้าขายจะฟื้นตัวดีขึ้น ประชาชนจะกลับมาจับจ่ายใช้สอย โดยภายใต้สมมติฐานว่าไม่มีปัจจัยเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกกรณีสงครามการค้าสหรัฐฯ กับจีน โดยสหรัฐฯ ไม่ขึ้นภาษีสินค้าจีน รวมถึงราคาน้ำมันไม่ผันผวนมากจนเกินไป.