นายจรินทร สุทธนารักษ์ ผู้อำนวยการสำนักชั่งตวงวัด กรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า ได้รับรายงานว่ามีผู้ประกอบธุรกิจตู้น้ำมันหยอดเหรียญบางราย มีแผนกลยุทธ์ที่ใกล้เคียงกับธุรกิจแชร์ลูกโซ่ ด้วยการชักจูงให้ประชาชนร่วมลงทุนซื้อตู้น้ำมันหยอดเหรียญ เครื่องละ 60,000-70,000 บาท จากราคาปกติเครื่องละ 30,000-40,000 บาท โดยผู้ประกอบธุรกิจจะรับประกันการดูแลเครื่อง การบริหารจัดการ รับประกันกำไร โดยจะโอนเข้าบัญชีผู้ลงทุนทุกๆเดือนไม่ต่ำกว่าเดือนละ 3,000-5,000 บาท จึงขอเตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อตกเป็นเหยื่อของธุรกิจดังกล่าว เพราะหากต้องการลงทุนตู้น้ำมันหยอดเหรียญ ต้องขออนุญาตจาก 3 หน่วยงาน
“3 หน่วยงาน ประกอบด้วย ต้องให้ท้องถิ่นเป็นผู้อนุญาตการติดตั้งตู้ ในพื้นที่ ส่วนเรื่องของมาตรฐานและความปลอดภัยตู้น้ำมันหยอดเหรียญ มีหน่วยงานดูแล 2 หน่วยงาน คือ สำนักงานชั่งตวงวัด ดูแลเรื่องปริมาณน้ำมัน ความเที่ยงตรง ซึ่งตู้ส่วนใหญ่ในท้องตลาดจะผ่านมาตรฐาน และกระทรวงพลังงาน ดูเรื่องความปลอดภัยที่จะเกี่ยวข้องกับแบบก่อสร้างตู้น้ำมัน ซึ่งแม้บางบริษัทอ้างว่าได้รับมาตรฐานจากสำนักงานชั่งตวงวัด แต่เมื่อตรวจสอบพบว่าสำนักงานไม่ทราบเรื่อง”
สำหรับพฤติกรรมชักจูงให้มีการลงทุน พร้อมทั้งการันตีจะมีกำไรทุกเดือนไม่ต่ำกว่า 3,000-5,000 บาท อาจเข้าข่ายเป็นกระบวนการแชร์ลูกโซ่ เพราะมีแผนรายได้ และยังจูงใจให้ลงทุนหลายๆตู้ก็จะมีกำไรมหาศาล เช่น ลงทุน 10 ตู้ มีกำไรเดือนละ 30,000-50,000 บาท เป็นต้น ซึ่งการลงทุนทั่วไปจะไม่มีผู้ผลิตและผู้จำหน่ายทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรว่าจะได้กำไรเดือนละเท่าไร อีกทั้งการลงทุนในระยะแรก ผู้ชักชวนลงทุนอาจให้เงินตามที่เงื่อนไข แต่เกรงว่าหากมีคนเข้ามาสมัครกันมากๆ และมีเครือข่ายจำนวนมาก อาจทำให้คนที่มาสมัครภายหลังหรือลงทุนจำนวนมาก อาจถูกหลอกลวงได้
“ภาพรวมของธุรกิจตู้น้ำมันหยอดเหรียญที่ถูกต้องตามกฎหมาย พบว่ามีขยายตัวได้ดี ส่วนใหญ่ได้รับความนิยมตามหมู่บ้านและต่างจังหวัด โดยเฉพาะหมู่บ้านที่มีมอเตอร์ไซค์มากๆ และเป็นธุรกิจที่เข้ามาทดแทนปั๊มหลอดที่เริ่มหายไปจากเมืองไทยแล้ว”.