นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ โฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ เปิดเผยว่า ครม. เห็นชอบการศึกษาความเหมาะสมในรายละเอียดของรูปแบบโครงการเขตพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ หรือเอสอีซี ในพื้นที่ภาคใต้ตอนบน 4 จังหวัด ชุมพร ระนอง สุราษฎร์ธานีและนครศรีธรรมราช ครอบคลุมพื้นที่กว่า 300,000 ตารางเมตร มีประชากร 3 ล้านคน ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอ พร้อมเห็นชอบวงเงินงบประมาณการพัฒนาโครงการปี 62-65 วงเงิน 106,800 ล้านบาท เพื่อดำเนินงาน 116 โครงการ “คาดว่าประโยชน์ด้านเศรษฐกิจ 10 ปีแรก (ปี 62-72) เศรษฐกิจหรือจีดีพีในพื้นที่จะโตเฉลี่ย 5% ต่อปี นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 1.2 ล้านคนต่อปี การลงทุนในภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 200,000 ล้านบาท ขณะที่การพัฒนาพื้นที่นี้ให้เป็นประตูเศรษฐกิจฝั่งตะวันตกของประเทศ มีการเชื่อมโยงกันทั้งระบบทางบก น้ำและอากาศ รวมทั้งเชื่อมโยงกับเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกและเอเชียใต้ ลดเวลาการขนส่งสินค้าได้ครึ่งหนึ่ง เมื่อเทียบกับการขนส่งผ่านท่าเรือแหลมฉบังไปยังอินเดียจาก 9-15 วัน เหลือ 4-7 วัน ส่วนการพัฒนาสนามบินเชิงพาณิชย์ ในพื้นที่จะพัฒนาให้รองรับผู้โดยสารได้อย่างน้อย 10 ล้านคนต่อปีในทุกสนามบิน นอกจากนั้นจะสร้างเมืองน่าอยู่ให้เกิดขึ้นได้ภายใน 10 ปี”
นายณัฐพร กล่าวว่า สศช.ได้วางกรอบการพัฒนาเอสอีซี 4 ด้าน ได้แก่ 1.การพัฒนาประตูการค้าฝั่งตะวันตก 10 โครงการ วงเงินรวม 492,000 ล้านบาท เพื่อเชื่อมโยงฝั่งอ่าวไทย-ฝั่งอันดามัน-ประเทศในเอเชียใต้ ส่งเสริมระบบการขนส่งและโลจิสติกส์ให้ได้มาตรฐานสากล การเชื่อมโยงเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจกลุ่มประเทศ BIMSTEC โดยมีโครงการสำคัญ เช่น การปรับปรุงท่าอากาศยานระนอง การพัฒนาท่าเรือระนอง 2.การพัฒนาประตูสู่การท่องเที่ยวอ่าวไทยและอันดามัน 31 โครงการ วงเงิน 39,500 ล้านบาท โดยยกระดับแหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่ ปรับปรุงท่าอากาศยานชุมพรและโครงการพัฒนาถนนเลียบชายฝั่งทะเลช่วงสมุทรสงคราม-เพชรบุรี-ประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร-ระนอง เพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยว 3.การพัฒนาอุตสาหกรรมฐานชีวภาพและการแปรรูปการเกษตรมูลค่าสูง 32 โครงการ 6,490 ล้านบาท เช่น โครงการสนับสนุนศูนย์แปรรูปสมุนไพรครบวงจร โครงการศึกษาการจัดตั้งศูนย์ความเชี่ยวชาญการวิจัยเชิงพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ (SECr) และจัดตั้งโรงงานต้นแบบสำหรับการผลิตนวัตกรรมยางพารา 4.การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ การส่งเสริมวัฒนธรรมและการพัฒนาเมืองน่าอยู่ 38 โครงการ วงเงิน 7,120 ล้านบาท.