ประมูลปิโตรเลียมเน้น “ถูกกว่า” มาวิน

นายวีระศักดิ์ พึ่งรัศมี อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ เปิดเผยว่า ขณะนี้กรมมีความพร้อมการเปิดประมูลขอสิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมแปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทยหมายเลข G1/61 (แหล่งเอราวัณ) พื้นที่ประมาณ 4,501 ตารางกิโลเมตร และ G2/62 (แหล่งบงกช) พื้นที่ประมาณ 3,247 ตารางกิโลเมตร ในระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิต (พีเอสซี) ตามพระราชบัญญัติปิโตรเลียม 2514 และที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยตามทีโออาร์ระบบพีเอสซีจะเรียกเก็บค่าภาคหลวงปิโตรเลียม 10% และแบ่งปันกำไรระหว่างรัฐกับเอกชนไม่น้อยกว่าคนละ 50% เก็บภาษีเงินได้ปิโตรเลียม 20% ทั้งนี้ ยอมรับว่าการเปิดประมูลล่าช้ามาเกือบ 2 ปีตั้งแต่ปี 2559 เพราะเรื่องระเบียบกฎหมายทั้งสิ้น แต่ขณะนี้กฎกติกาและกฎหมายต่างๆมีความพร้อมแล้วและมีมาตรฐานเดียวกันเหมือนที่ทั่วโลกให้กันอยู่

“เมื่อบริษัทผ่านคุณสมบัติเข้าร่วมประมูลแล้ว กรมก็จะเปิดให้เสนอข้อมูลทางเทคนิค และชี้แจงหลักเกณฑ์อีกครั้งหนึ่ง โดยเบื้องต้นให้น้ำหนักคะแนนราคาก๊าซธรรมชาติที่จะขายให้ภาครัฐในสัดส่วน 65% ซึ่งจะมีสูตรราคาเป็นค่าคงที่ รายใดให้ราคาต่ำสุดเป็นผู้ชนะประมูล เพราะเราไม่ได้คำนึงถึงมูลค่าของรัฐ แต่คำนึงถึงค่าไฟฟ้าที่มีผลต่อประชาชน หากราคาก๊าซถูกลง 1 บาทต่อล้านบีทียู จะทำให้ค่าเอฟทีลดลง 0.5 สตางค์ต่อหน่วย คิดเป็นน้ำหนักคะแนนสัดส่วนราคาก๊าซต่อส่วนแบ่งกำไร 2.5 ต่อ 1 และคะแนนอีก 25% เป็นเรื่องส่วนแบ่งกำไรที่รัฐได้ไม่น้อยกว่า 50%”

ทั้งนี้ เราถือเป็นประเทศแรกของโลกที่เปลี่ยนระบบสำรวจและผลิตปิโตรเลียมจากรูปแบบสัมปทานมาเป็นพีเอสซี ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ย้ำว่าต้องมีแรงงานที่เป็นคนไทยไม่น้อยกว่า 80% ในปีแรก และไม่ต่ำกว่า 90% ภายใน 5 ปี ระยะเวลาสำรวจ 3 ปีต่อได้ 3 ปี 1 ครั้ง ระยะเวลาผลิต 20 ปีต่อได้ 1 ครั้งไม่เกิน 10 ปี โดย 10 ปีแรกต้องมีผลิตต่อเนื่อง แหล่งเอราวัณต้องได้ 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน เริ่มผลิต 24 เม.ย.2565 แหล่งบงกชต้องผลิต 700 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ภายในวันที่ 3 มี.ค.2566 คิดเป็นกำลังการผลิตก๊าซรวมกันในอ่าวไทย 75%.