ตลาดส่งออกผลไม้ไทย โดยเฉพาะ “ทุเรียน” กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ด้วยมูลค่าตลาดในจีนที่สูงถึง 1.3 แสนล้านบาทต่อปี และยังมีช่องว่างมหาศาลสำหรับการขยายตัว วิชัย ศิระมานะกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท NTF อินเตอร์กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด มองเห็นโอกาสนี้และตั้งเป้าพัฒนาทุเรียนไทยสู่ตลาดโลกอย่างมีคุณภาพ ด้วยการควบคุมตั้งแต่สวนจนถึงมือลูกค้า NTF ได้สร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่งในจีน พร้อมเดินหน้าสู่เป้าหมายรายได้ 7 พันล้านบาทใน 5 ปี และเตรียมก้าวเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ไทยอย่างมั่นคง
วิชัย ศิระมานะกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็นทีเอฟ อินเตอร์กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำการส่งออกผลไม้สดเกรดพรีเมียม เปิดเผยกับ Thairath Money ว่า จุดเริ่มต้นของ NTF เกิดจากผมอยู่ในธุรกิจส่งออกผลไม้ไปยังต่างประเทศมายาวนานกว่า 10 ปี เห็นโอกาสเติบโตสูงมากโดยเฉพาะในตลาดประเทศจีน ที่นิยมบริโภคผลไม้ไทย ทั้งลำไยและทุเรียน แต่ความต้องการลูกค้าถูกละเลย จึงเห็นโอกาสที่จะเข้าไปแก้ปัญหานั้น
“ตลาดการส่งออกทุเรียนไทยไปยังจีนโตมาก แต่ปัญหาที่ลูกค้าเจอ คือ คุณภาพของสินค้า บางล็อตทุเรียนแก่ไป หรือดิบไป ไม่ได้คุณภาพ ซึ่งเราเห็นปัญหาตรงนี้และน่าจะเข้ามาปิดช่องว่างได้”
คนจีนนิยมกินลำไยกับทุเรียน เพราะเขามองเป็นผลไม้บำรุง ตลาดการส่งออกทุเรียนไทยไปยังประเทศจีน มีมูลค่าเกิน 1.3 แสนล้านบาทต่อปี และเทรนด์มีการเติบโตเฉลี่ยปีละ 10 - 20% แม้ตลาดจะมีมูลค่าแสนล้าน แต่เมื่อเทียบกับตลาดประเทศจีนที่ปัจจุบันมีคนกินทุเรียนเพียงแค่ 30% ของประชากรจีนเท่านั้นที่ได้บริโภคทุเรียน ดังนั้นตลาดยังเปิดกว้างอีกมาก
ด้วยโอกาสที่หาไม่ได้บ่อยๆ ทำให้คุณวิชัยได้ชักชวนคุณอิศรา ภูววิเชียรฉาย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน หรือ CFO ร่วมกันตั้ง NTF ขึ้นในปี 2563
“ที่มาของชื่อ NTF หลายคนมองว่าจะมาจาก nature thai fruit แต่ในความหมายของพวกเรา คือ N ย่อมาจากชื่อเล่นคุณอิศรา คือ แนน T มาจากชื่อเล่นผม ตี้ และ F มาจาก Friendship”
ธุรกิจของ NTF คือ การส่งออกผลไม้ไปยังต่างประเทศ โดยประเทศจีนเป็นประเทศหลักของบริษัท โดยสินค้าที่ส่งออก คือ ทุเรียน คิดเป็น 90% รองลงมาคือลำไย 8% และมะพร้าวรวมถึงผลไม้อื่นๆ 2% โดยขนส่งสินค้า เส้นทางการส่งออก ทางบกไปทางถนน R3A เส้นทางที่ 2 ส่งออกทางเรือ และส่วนเส้นทางที่ 3 ทางอากาศ ส่วนที่ 4 ทางรถไฟ
จุดเด่นของ NTF คือ การควบคุมคุณภาพของทุเรียน ตั้งแต่สวนจนถึงมือลูกค้า เราใช้เวลาจากสวนถึงลูกค้าทั้งกระบวนการประมาณ 6-7 วัน ต้องสุกพอดีเมื่อถึงมือกับผู้บริโภค
นอกจากนี้เราเน้นการสร้างแบรนด์ที่มีคุณภาพทั้งความสวยงามและรสชาติ ภายใต้ 4 แบรนด์ ได้แก่ เหม่ย ลี่ (Mei Li), ไท่ จี้ (Tai Ji), จิน เยี่ยน (Jin Yan) และไท่ ถิง ห่าว (Tai Ting Hao) ทำตลาดในประเทศจีน
ผลดังกล่าวทำให้ NTF ประสบความสำเร็จในการทำการตลาดในประเทศจีน โดยมีกำลังการผลิตทุเรียนมากกว่าปีละ 500 ตู้ หรือคิดเป็นปริมาณกว่า 1.6 - 1.8 หมื่นตัน โดยมีรายได้ปี 2563 มีรายได้ 14 ล้านบาท ปี 2564 มีรายได้ 184 ล้านบาท ปี 2565 มีรายได้ 351 ล้านบาท และปี 2566 มีรายได้ 561 ล้านบาท ส่วนในปี 2567 บริษัทคาดการณ์รายได้ไว้ที่ 1,000 - 1,200 ล้านบาท ซึ่งผลดังกล่าวทำให้บริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาดจากมูลค่าการส่งออกทุเรียนไปยังประเทศจีน 1%
อย่างไรก็ตามแม้ยอดขายปัจจุบันอยู่ที่ 1,000 ล้านบาท อัตรากำไรอยู่ที่ 6-7% ตอนนี้อยู่ที่ 1% ของมาร์เก็ตแชร์ทั้งหมด ตอนนี้ทุเรียนไทยโต 10-20% ต่อปีจะโตได้อีกมาก แม้มีกระแสข่าวว่าจีนพยายามจะปลูกทุเรียนเอง แต่ตอนนี้ซัพพลายของทุเรียนยังเป็นแค่ 35% ของตลาด ต่อให้เพิ่มอีก 1 เท่าตัว ตลาดก็ยังไม่อิ่มตัว
อย่างไรก็ตาม NTF มีแผนจะเข้าจดทะเบียนตลาดหลักทรัพย์ โดยเป็นเป้าหมายตั้งแต่วันแรกที่ก่อตั้ง ซึ่งธุรกิจจะโตได้ต้องมีเงินทุน ซึ่งแผนงานของเราอยากมียอดขาย 7 พันล้านบาทต่อปี ภายใน 5 ปีข้างหน้า ดังนั้นต้องใช้ระบบอุตสาหกรรมเข้ามาช่วยโดยจะเข้ามาช่วยในระบบของการคัดบรรจุ ช่วยให้รวดเร็วและมีมาตรฐานลดต้นทุน
โดยต้องการขยายตลาดไปยังประเทศอื่นๆ ที่มีคนจีนอยู่จำนวนมาก ทั้งไต้หวัน สหรัฐ ยุโรป และชุมชนชาวเอเชียทั่วโลก ส่วนผลไม้อื่นๆ ที่จะเป็นเทรนด์การเติบโต คือ มะพร้าวที่มองว่าเป็นน้ำจากธรรมชาติ และยอดนิยมทั่วโลก โดยเฉพาะมะพร้าวน้ำหอม
“เราภูมิใจเป็นบริษัทคนไทย 100% เพราะการส่งออกทุเรียนในไทย 70 - 80% เป็นคนจีน และอีก 20% เป็นพาร์ทเนอร์จีน ซึ่งเป็นคนไทยจะมีเหลือเพียง 5% ที่จริงเรามีออฟเฟอร์ให้เราไปเข้าตลาดหุ้นที่ฮ่องกงด้วย แต่เรามองว่า เราอยากเป็นบริษัทไทย”