ธุรกิจร้านอาหาร เป็นธุรกิจหนึ่งที่ปราบเซียน เพราะนอกจากต้องทำอาหารให้อร่อยและมีคุณภาพ ราคาไม่สูงเกินไปแล้ว ยังต้องหาวิธีการมัดใจลูกค้าให้เกิดการซื้อซ้ำ ซึ่งจุดอ่อนสำคัญของธุรกิจนี้ คือ กำแพงของอุตสาหกรรมนั้นต่ำ ใครก็พร้อมที่จะเข้ามาเป็นผู้เล่นหน้าใหม่เสมอ
โดยในเร็วๆ นี้ ตลาดหลักทรัพย์ mai กำลังจะมีหุ้นน้องใหม่อย่าง บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAGURO เจ้าของแบรนด์ มากุโระ, SSAMTHING TOGETHER, ฮิโตริ ชาบู เข้าระดมทุน ซึ่งความน่าสนใจของ MAGURO คือ การใช้ R&D เป็นตัวทำเกม สร้างการเติบโต จนกองทุนอย่างลอมบาร์ด เอเชีย เข้าถือหุ้น
กองทุนลอมบาร์ด เอเชีย เป็นกองทุนไพรเวทอิควิตี้ ถูกจัดตั้งโดยทีมงานผู้จัดการกองทุนที่มีประสบการณ์การลงทุนกว่า 20 ปี ในธุรกิจที่มีโอกาสเติบโตสูง ซึ่งในอดีต กองทุนนี้เคยเข้าถือหุ้นในตลาดหุ้นไทยอยู่หลายตัว บริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) WORK, บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) MC ก่อนทยอยลดพอร์ตลงทุนในประเทศไทยลง และตอนนี้เหลือเพียงการถือหุ้นอยู่ใน บริษัท สินมั่นคงประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ SMK เท่านั้น และตอนนี้ในพอร์ตมีสินมั่นคงอยู่
โดยล่าสุด กองทุนลอมบาร์ด เอเชีย กำลังจะถูกพูดถึงอีกครั้ง เมื่อพวกเขาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAGURO ที่กำลังจะเข้าระดมทุนใน mai
เอกฤกษ์ แสงเสรีดำรง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAGURO เปิดเผยกับ Thairath Money ว่า มากุโระ กรุ๊ป นั้นถูกก่อตั้งขึ้นมาด้วยกลุ่มเพื่อน 4 คน มีความสนใจธุรกิจอาหารและอยากลงทุนรวมกัน ซึ่งเวลานั้นเรามองว่าเป็นจังหวะธุรกิจอาหารไทยมีช่องว่าง
“มากุโระ เกิดจากกลุ่มเพื่อน 4 คน อยากทำธุรกิจร่วมกัน และเรามองว่าธุรกิจอาหารเป็นธุรกิจที่เริ่มต้นง่าย ใช้การลงทุนไม่สูง เราเห็นช่องว่างการตลาด เลยเริ่มต้นลงทุน”
ทั้งนี้ ธุรกิจอาหารญี่ปุ่นในเวลานั้น เราแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ 1 ร้านอาหารญี่ปุ่นทั่วไป ที่หาทานได้ตามห้างสรรพสินค้า จะเป็นวัตถุดิบปานกลาง ราคาค่อนข้างสูง กับกลุ่มที่ 2 กลุ่มพรีเมียม ที่ราคาอาหารจะสูงมาก ทำให้เราเห็นช่องว่างตรงนี้ วัตถุดิบที่มีคุณภาพดี สามารถนำมาขายในราคาจับต้องได้ เป็นจุดเริ่มต้นที่น่าสนใจและเปิดตลาด
ทำให้เราเริ่มต้นการลงทุนด้านการสร้างอาหาร มากุโระ ให้บริการมา 9 ปี มี 13 สาขา ต่อมาขยายแบรนด์ใหม่ต่อเนื่อง SSAMTHING TOGETHER (ซัมติง ทูเก็ทเตอร์) ร้านปิ้งย่างเกาหลีพรีเมียมภายใต้ 6 สาขา และแบรนด์ ฮิโตริ ชาบู ชาบูชาบูและสุกี้ยากี้พรีเมียม มี 6 สาขา ทำให้ปัจจุบันนี้ ในกลุ่ม MAGURO มีจำนวนร้านอาหารในเครือ 25 สาขา
เอกฤกษ์ เล่าว่า สิ่งที่ทำให้ MAGURO เติบโตได้เร็วและมีความแข็งแกร่งมาก คือ การมีทีมวิจัยและพัฒนา หรือ R&D ที่แข็งแกร่งมาก โดยทีม R&D ของเราศึกษาความเป็นไปได้ทุกรูปแบบของอาหาร ทั้งอาหารจีน ไทย ตะวันตก ทั้งการทำเมนูใหม่ๆ คิดค้นเมนูในแบรนด์ที่มีอยู่แล้ว ไม่จำเจและน่าเบื่อ รวมถึงการศึกษาการสร้างแบรนด์ใหม่ ขยายขอบเขตอาณาจักรของ MAGURO ออกไป เพื่อให้เป็นอาวุธในมือที่พร้อมจะสร้างการเติบโตใหม่ได้
ซึ่งความสำเร็จหนึ่งที่มาจาก R&D คือ การออกแบรนด์ SSAMTHING TOGETHER ในเวลานั้นเราเจอวิกฤติ Covid เล่นงาน และได้รับผลกระทบ เรามองในเรื่องว่าตอนโควิดได้รับผลกระทบ และต้องเปิดปิดสาขา ห้ามนั่งทานอาหารที่ร้าน
ทำให้เราใช้ทีม R&D ในการพัฒนาอาหารไปด้านอื่นๆ อีกไหม ซึ่งเรามีทีมที่มีจุดแข็งที่จะเติบโตไปในหลายรูปแบบ ไม่ใช่แค่อาหารญี่ปุ่นอย่างเดียว เราเลยลองตั้งแบรนด์ใหม่ในเวอร์ชันเดลิเวอรีขึ้นมาในช่วงโควิด พอคลี่คลายเลยเลือกที่จะเปิดร้าน และได้รับการตอบรับที่ดีมาก
อย่างไรก็ตาม แผนการเติบโตของ MAGURO คือ การขยายสาขาให้ครอบคลุม และการสร้างแบรนด์ร้านอาหารใหม่ๆ เพราะต้องยอมรับว่าแม้ร้านอาหารจะฮอตฮิตเพียงใด ก็จะมีลิมิตของตลาด ที่จะไม่สามารถดันการเติบโตได้ ดังนั้นการออกแบรนด์ใหม่ จะช่วยขยายตลาดที่กว้างกว่าเดิม
คุณโชค กล่าวว่า “MAGURO จะไม่เท่ากับร้านอาหารแบบเกาหลี หรือญี่ปุ่น อนาคตอาจเปิดเพิ่มอีก ซึ่งเมื่อเรามี ecosystem ของอาหาร ใช้วัตถุดิบร่วมกัน แต่มีกลุ่มตลาดที่ต่างกัน โดยเรามองว่าธุรกิจอาหารที่เราอยู่ ไม่ได้เป็นกลุ่มอาหารที่เป็นแฟชั่น เรามองถึงความยั่งยืน หวังให้แบรนด์หนึ่งอยู่เป็น 10 ปี หรือไปได้ตลอด”
และหนึ่งในกลยุทธ์เรา คือ เปิดแบรนด์เพิ่ม และสาขาเพิ่ม เราต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก ปีที่แล้วเราเปิดไป 10 ร้าน ดังนั้นเราต้องเข้าตลาดหลักทรัพย์ mai เพื่อระดมทุน ทั้งนี้ ในแผนของเรามองว่าการระดมทุนแบบนี้เหมาะสม เพราะมีต้นทุนทางการเงินไม่แพงเท่ากับการไปกู้ ซึ่งในอนาคตเรามองรูปแบบการร่วมลงทุนด้วย
อย่างไรก็ตาม การเติบโตของ MAGURO นั้นเป็นที่น่าสนใจ จนกองทุนระดับโลกอย่าง กองทุนลอมบาร์ด เอเชีย เข้าลงทุนกับบริษัทในช่วงก่อนหน้านี้ โดยเข้าถือหุ้นผ่านชื่อ Holistic Impact โดยถือหุ้นระดับ 29 ล้านหุ้น หรือ 28% ของทั้งหมด โดยกองทุน แสดงความสนใจเข้ามาถือหุ้น โดยให้เหตุผลว่า มองศักยภาพในการขยายการเติบโต ซึ่งเขามาสัมภาษณ์กับผู้บริหารและผู้ก่อตั้งทั้ง 4 คน เรามีบางอย่างที่บริษัทอื่นๆ อาจไม่มีและเล็งเห็นตรงนั้น และเข้ามาลงทุนกับเราและน่าสนใจที่จะลงทุน กว่าจะจบดีลได้ค่อนข้างหลายปี ซึ่งเป็นหนึ่งในการยืนยันโอกาสและศักยภาพการเติบโตได้ และหลังเข้าตลาดหลักทรัพย์ กองทุนยังมีสถานะถือครองหุ้น MAGURO เช่นเดิม