พันเอกสรรพชัยย์ หุวะนันทน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT เปิดเผยว่า โครงสร้างองค์กรใหม่ในปี 2568 ประกอบด้วย 6 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ กลุ่มธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน, กลุ่มธุรกิจโทรศัพท์ประจำที่และบรอดแบนด์, กลุ่มธุรกิจสื่อสารไร้สาย, กลุ่มธุรกิจระหว่างประเทศ, กลุ่มธุรกิจดิจิทัล และกลุ่มธุรกิจ ICT Solution โดย NT ยังคงมุ่งสร้างรายได้หลักจากกลุ่มธุรกิจสื่อสารไร้สาย ซึ่งครองสัดส่วนรายได้ประมาณ 45% และกลุ่มธุรกิจโทรศัพท์ประจำที่และบรอดแบนด์ ที่สัดส่วน 20% ซึ่งเน้นควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่ายอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ทั้ง my และ NT Mobile อยู่ระหว่างเร่งโอนย้ายลูกค้าไปยังคลื่น 700 MHz
พันเอกสรรพชัยย์ กล่าวอีกว่า ก่อนหน้านี้ NT มีดำริว่าอาจเลิกทำธุรกิจอินเตอร์เน็ตบรอดแบนด์ความเร็วสูง เนื่องจากการแข่งขันสูง ทำให้ขาดทุนต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามเมื่อมีการประเมินอย่างถี่ถ้วนพบ ธุรกิจยังสามารถทำกำไรได้ รวมทั้งสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.)ยังอยากให้ NT ทำธุรกิจต่อเพื่อให้มีผู้แข่งขันในตลาดเพียงพอ หลังจากที่ทางเอไอเอสได้เข้าซื้อกิจการของ 3BB ไปก่อนหน้านี้ ทำให้ผู้แข่งขันในตลาดมีน้อยลง อย่างไรก็ตามจะมีการปรับโมเดลธุรกิจใหม่ โดยจากจำนวนลูกค้าที่ 2 ล้านครัวเรือน มีจำนวน 1.8 ล้านครัวเรือนที่อยู่ในต่างจังหวัด ขณะที่ 200,000 ครัวเรือนอยู่ในเขตกรุงเทพและปริมณฑล จึงกำลังพิจารณาหาพันธมิตรในการให้บริการในเขตนครหลวง ซึ่งไม่ใช่ตลาดหลักแทน
“เรากำลังเจรจากับพันธมิตร 2 ราย เพื่อหาข้อสรุปในโมเดลธุรกิจบรอดแบนด์ในเขตกรุงเทพและปริมณฑลใหม่ ซึ่ง NT อยากเป็นผู้ค้าส่งโครงข่ายและให้พันธมิตรนำโครงข่ายไปค้าปลีกแทน” ส่วนผลประกอบการในปี 2567 พบว่า หลังจากแพ้คดีกับบริษัททีทีแอนด์ที ซึ่งศาลสั่งให้ NT ต้องจ่ายเงิน 4,900 ล้านบาท ทำให้ขาดทุนทันที โดยหากไม่แพ้คดี ช่วงม.ค.- พ.ย. 2567 NT จะมีกำไร 2 ล้านบาท