JACOB มีจุดเริ่มต้นใน ปี 2482 โดย 'สุทิน เทพชาตรี' ผู้ก่อตั้ง ‘บริษัท ศรีภัณฑ์ ยาค้อบ จำกัด’ เพื่อดำเนินธุรกิจของครอบครัว โดยเริ่มต้นจากธุรกิจค้าขายผ้าแพรผ้าไหมญี่ปุ่น จนกระทั่งเข้าสู่ธุรกิจเครื่องหนังและการเปิดตัวแบรนด์ จาค็อบ หรือ ‘JACOB’ อย่างเป็นทางการในปี 2499 เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์เครื่องหนังอันประณีตสวยงามจากฝีมือคนไทยให้กับคนไทยได้ใช้งานในราคาที่ย่อมเยา
ย้อนกลับไปช่วงที่แบรนด์ก่อตั้งขึ้นใหม่ ตัวอักษร JACOB และสิงห์สองตัวขนาบเลขโรมันที่ถูกตอกลงบนผืนหนังของกระเป๋า เพื่อประทับโลโก้แบรนด์ได้สร้างกลิ่นอายความเป็นเครื่องหนังตะวันตกมากอีกระดับ การใช้หนังนำเข้าที่มีคุณภาพบวกกับการออกรูปทรงกระเป๋าสุดโก้อย่างประณีตราวกับของฝรั่งในขณะนั้น ทำให้หลายคนเข้าใจว่า นี่คือ แบรนด์ต่างประเทศ
แน่นอนว่ามาตรฐานเหล่านี้กลายเป็นจุดแข็งที่ทำให้ JACOB ตีตลาดต่างประเทศได้อย่างง่ายดายตั้งแต่ 80 ปีที่แล้ว และมากไปกว่านั้นยังพบว่า คนไทยจำนวนหนึ่งซื้อ JACOB กลับมาใช้ในประเทศ ก็ยิ่งทำให้เกิดความเข้าใจผิดกันไปใหญ่เลยทีเดียว ซึ่งนอกเหนือจากการเน้นการส่งออกต่างประเทศ โดยมีตลาดหลักๆ อยู่ที่มาเลเซีย ฮ่องกง และเยอรมนีแล้ว JACOB ยังเป็นผู้ผลิตกระเป๋าให้กับหลายๆ บริษัทในยุโรปอีกด้วย
JACOB เริ่มขยายผลิตสินค้าและเครื่องหนังอีกหลากหลายอย่าง ตั้งแต่ เข็มขัด รองเท้า หมวก ชุดหนัง กระเป๋าใส่ธนบัตร กระเป๋าเดินทาง กระเป๋าสะพายสำหรับคุณผู้หญิงและคุณผู้ชาย นับเป็นผู้ธุรกิจหนังเจ้าแรกๆ ในเมืองไทยที่บุกเบิกตลาดกระเป๋าหนังที่มีความโดดเด่นในด้านแบรนด์ดิ้งและดีไซน์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยเฉพาะ กระเป๋ารุ่นแรกๆ อย่างกระเป๋าเอกสาร และกระเป๋านักเรียนอันเลื่องชื่อ
‘JACOB School Bag’ กระเป๋าหนังสีดำใส่สมุดและเอกสารขนาด 18 นิ้ว มาพร้อมกับคุณสมบัติทนทาน และตัวล็อกสีเงินที่ให้ความรู้สึกเท่ เรียบหรู ดูดีมีสไตล์ ตำนานกระเป๋านักเรียนที่ทุกคนใฝ่หามาครอบครอง ฮิตสุดขีดในหมู่นักเรียนยุค 90 ที่ว่ากันว่า นี่คือ Must have Item!
กระเป๋านักเรียน JACOB ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องแบบนักเรียน และเป็นค่านิยมแฟชั่นที่บ่งบอกความโก้เก๋ของกลุ่มนักเรียน ทำให้ไม่ว่าใครก็อยากถือ บางบ้านใช้กันตั้งแต่รุ่นปู่รุ่นยา รุ่นพ่อรุ่นแม่ รุ่นพี่ส่งต่อยันรุ่นน้องเลยทีเดียว โดยปัจจุบันกระเป๋านักเรียน JACOB ยังวางขายตามร้านจัดจำหน่ายในราคา 2,900 บาท
ณ ยุคหนึ่งที่ความต้องการด้านแฟชั่นเริ่มเติบโต ตลาดต่างประเทศก็เริ่มมีการแข่งขันสูงขึ้นเรื่อยๆ JACOB ก็เริ่มพัฒนากระบวนการผลิต ไม่ว่าจะเป็นการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วย การเลือกใช้วัสดุ เพิ่มไลน์ผลิตกระเป๋าที่ทำจากหนังสังเคราะห์หรือหนังเทียมผสมคุณภาพสูง เพื่อขยายตลาด และปรับตัวให้เข้ากับกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ที่มีพฤติกรรมและเทรนด์เปลี่ยนไปตามยุคสมัย
ในปี 2532 สุทิน ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘ปูชนียบุคคลของวงการเครื่องหนังไทย’ ก็ได้ส่งต่อธุรกิจให้กับ ‘รัศมีวรรณ ชลาวานิช’ พร้อมพี่น้อง ‘จามรี เบลนี เดวิดสัน’ และ ‘สุวรรณา เทพชาตรี’ ทั้งสามรับไม้ต่อในการปรับโฉมแบรนด์ JACOB ให้สดใหม่ขึ้นทั้งในกระบวนการผลิตและรูปแบบของกระเป๋าที่ทันสมัยและหลากหลายมากขึ้น โดยไม่ทิ้งกลิ่นอายเดิม
ด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมมา 80 กว่าปีในการทำงานร่วมกับตลาดเครื่องหนังนานาประเทศ ทำให้ JACOB เข้าใจสไตล์ของกระเป๋าอย่างละเอียด เพนพอยท์ของเครื่องหนัง และการใช้งาน ต่อเนื่องยังบริการหลังการขายที่รู้ใจลูกค้า โดยเฉพาะคติหลัก “การคัดสรรวัตถุดิบที่ดีที่สุดตั้งแต่ต้นน้ำ เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด” ยังเป็นหลักการสำคัญที่ถูกส่งต่อผ่านการบริหารของทายาททั้งสามรุ่น ทำให้ JACOB รักษาคุณภาพ Craftmanship ไว้ได้เป็นอย่างดี
ปัจจุบัน ‘โนร่า ชลาวานิช’และ ‘อนณ ชลาวานิช’ ทายาทรุ่นปัจจุบันได้เข้ามามีส่วนร่วมขยายอาณาจักร JACOB สู่ดินแดนใหม่ๆ บนแพลตฟอร์มออนไลน์ ด้วยภารกิจทำความคลาสสิกของ JACOB ให้ร่วมสมัย ขยายกลุ่มเป้าหมายใหม่โดยเฉพาะ คนรุ่นใหม่ๆ ในอนาคต การปรับตัวไปตามยุคสมัย ในยุคที่ค่านิยมบางอย่างหายไป แทนที่ด้วยไลฟ์สไตล์ต่างๆ ที่แตกต่างจาก 80 ปีที่แล้วอย่างสิ้นเชิง จึงถือเป็นความท้าทายอย่างมากของ JACOB หลังจากนี้ ทำอย่างไรไม่ให้แบรนด์แก่ไปตามตัวเลข
เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่การันตีคุณภาพงานฝีมือในฐานะสินค้าส่งออกของเมืองไทยที่น่าภาคภูมิใจ
โดยล่าสุด JACOB ยังได้ปรับโฉมสร้างภาพจำครั้งใหญ่ ด้วยการตกแต่งหน้าร้านศรีภัณฑ์ ยาค้อบ สาขาแรกที่ตั้งขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 แถวย่านเสาชิงช้าใหม่ พร้อมด้วยการเปิดตัวคอลเลกชันใหม่ที่มาพร้อมกับดีไซน์ทั้งหมด 11 แบบ ซึ่งเปิดให้ลูกค้า #MakeYouOwnJACOB คัสตอมสีสัน ประเภทหนัง รูปทรงได้ตามใจชอบอีกด้วย
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney