“เพราะเด็กคืออนาคตของวันข้างหน้า”เหตุผลสั้นๆแต่มีความหมายที่ยิ่งใหญ่ในประโยคนี้ อธิบายถึงแรงบันดาลใจของ ศาสตราจารย์ ฌอน ดีโอนี นักวิจัยด้านการทำงานเซลล์ประสาทสมองกับพัฒนาการของเด็กจากอเมริกา ที่ทุ่มเทศึกษาความลับของการทำงานในสมองเพื่อต้องการให้เด็กมีพัฒนาการสมองที่ดี สามารถปรับใช้ ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงไปเช่นไร และพร้อมเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาสังคมในโลกอนาคต ที่ได้มาร่วมประชุมสัมมนาวิชาการ Meet the expert in nutrition for Brain connection- the evidence support from the past to present จัดโดยชมรมเวชศาสตร์ทารกแรกเกิดแห่งประเทศไทย เร็วๆ นี้ ได้มีโอกาสมาแชร์ข้อมูลวิจัยล่าสุดเกี่ยวกับสมองของทารกและเด็ก
ศาสตราจารย์ ฌอน เปรียบเทียบว่า หากต้องการสร้างตึกที่แข็งแรงและใช้งานได้จริงนั้น จำเป็นต้องวางเสาเข็มตั้งแต่เริ่มต้นให้ดีที่สุด เมื่อตึกแข็งแรง จะติดตั้ง ตกแต่ง หรือโยกย้ายยังไงก็ได้ เช่นเดียวกับมนุษย์ ที่เมื่อโตขึ้นแล้วจะสามารถคิด ทำงาน หรือใช้ความสามารถอย่างไรก็ได้ แต่จำเป็นต้องมีรากฐานที่แข็งแรง นั่นก็คือ “สมอง”
การเคลื่อนไหว หยิบ จับ สั่งการ คิด วิเคราะห์ ตัดสินใจต่างๆ ของมนุษย์นั้น เกิดขึ้นภายใต้การทำงานของกลไกสมองที่ทำงานร่วมกันในทุกส่วน (Brain Connection) จึงเป็นสิ่งที่วงการแพทย์ตั้งคำถาม และต้องการไขคำตอบมาหลายสิบปี เพราะหากเราเข้าใจการทำงานของสมองได้แล้วนั้น ไม่เพียงแต่จะช่วยให้สร้างสมองให้เติบโตดี แต่ยังสามารถช่วยรักษาและป้องกันโรคต่างๆ ได้อีกด้วย
หนึ่งในงานวิจัยที่ถูกตีพิมพ์และได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติกว่า 69 ฉบับอันเกี่ยวข้องกับพัฒนาการการเติบโตและการเรียนรู้ของเด็กที่เชื่อมโยงกับการทำงานของเส้นประสาทสมอง โภชนาการ และการกระตุ้นพัฒนาการของ ศาสตราจารย์ ฌอน ดีโอนี หนึ่งในทีมวิจัยของ Brown University ประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่าการเติบโตของสมองในช่วง 1,000 วันแรกของชีวิต ตั้งแต่วันที่ปฏิสนธินั้น มีผลต่อการพัฒนาการการเรียนรู้ ของเด็กอย่างมาก เพราะสมองจะสร้างเซลล์ประสาทและเชื่อมต่อกันอย่างรวดเร็ว ซึ่งสมองทุกส่วนนั้น ต้องทำงานร่วมกันเพื่อให้เด็กเกิดพัฒนาการทางด้านต่างๆ ซึ่งมีผลต่อการเติบโตของร่างกาย สติปัญญา และวุฒิภาวะทางอารมณ์ อันเป็นพื้นฐานของการเรียนรู้ตลอดชีวิต
ส่วนสำคัญของการส่งเสริมให้สมองนั้นมีการเติบโตอย่างรวดเร็วนั้นคือ “โภชนาการ” และ “การเอาใจใส่ในการกระตุ้นพัฒนาการ” ของผู้เลี้ยงดู แน่นอนว่า “นมแม่” นั้นเป็นแหล่งสารอาหารที่สำคัญต่อลูกน้อยมากที่สุด การศึกษาจึงมุ่งค้นหาสารอาหารที่เป็นหัวใจสำคัญของการเติบโตของสมอง ซึ่งเมื่อปี 2015 ศาสตราจารย์ ได้เล่าถึงผลการวิจัยด้วยการสแกนสมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) พบว่า มีสารอาหารมากมาย เช่น DHA โคลีน และรวมถึง “สฟิงโกไมอีลิน” (Sphingomyelin) หนึ่งในสารอาหารในนมแม่นั้นมีผลต่อการสร้างไมอีลิน และเด็กที่กินนมแม่มีการสร้างไมอีลินที่เร็วกว่า และมากกว่า
“สฟิงโกไมอีลิน” เป็นไขมันชนิดฟอสโฟไลปิดที่พบมากที่สุดในนมแม่ และมีไขมันที่มีความจำเพาะต่อการสร้างไมอีลินโดยเฉพาะ ไมอีลินนี้เป็นส่วนของหุ้มเส้นใยประสาทที่จะมาเชื่อมโยงเส้นประสาทต่างๆ อันส่งผลต่อการส่งสัญญาณประสาทและการประมวลผลภายในสมอง สมองเด็กที่มีไมอีลินมากกว่าจะเรียนรู้ได้ไวกว่า โดยเฉพาะเด็กที่ได้นมแม่จะมีการสร้างไมอีลินที่มากกว่า
“สฟิงโกไมอีลิน” พบมากในนมแม่ ไข่ นม และชีส ดังนั้นในช่วง 2 ปีแรกของชีวิตของเด็กทารก หากได้รับสารนี้อย่างเหมาะสม จะทำให้สมองดี เรียนรู้ไว
ในบทบาทของ “แม่” ผู้หญิงที่ตั้งท้องอีกชีวิตหนึ่งอยู่ภายในร่างกาย ทุกช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาสำคัญแห่งการเติบโตของลูกน้อย การค้นคว้าหาความรู้ที่จะช่วยส่งเสริมลูกนั้นจึงจำเป็นอย่างมาก อาหารการกินเป็นตัวแปรหลักๆ ที่ต้องให้ความสำคัญ เพื่อให้ลูกได้รับสารอาหารที่จำเป็นตรงตามช่วงวัย และที่ไม่สามารถมองข้ามไปได้เลยก็คือความรัก ความเอาใจใส่ที่จะทำให้ลูกน้อยเติบโตทั้งทางด้าน
ร่างกายและจิตใจ
พัฒนาการของเด็กนั้นเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว คุณแม่มือใหม่ใส่ใจในทุกรายละเอียดกันอยู่แล้ว จึงไม่ควรมองข้ามช่วงเวลาทองในการพัฒนาสมองของลูก ใน 1,000 วันแรกของชีวิต นมแม่ ถือว่าเป็นอาหารที่ดีที่สุดที่ช่วยพัฒนาสมองลูกน้อยให้ทำงานได้ดี พร้อมเรียนรู้ได้มากขึ้น
#สฟิงโกไมอีลิน #สารอาหารเพื่อพัฒนาการทางสมอง #ไมอีลิน #สมองดีเรียนรู้ไว