แน่นอนว่า ไม่ว่าใครก็อยากมีลูกฉลาด หัวไว เรียนเก่ง เติบโตขึ้นมาเป็นคนดีและประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานด้วยกันทั้งนั้น ที่ผ่านมา นักจิตวิทยาได้ทำการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว พบว่า ส่วนมากเด็กที่เก่ง ฉลาด หัวไวเข้าขั้นอัจฉริยะ ล้วนแล้วแต่ผ่านการอบรมเลี้ยงดูจากพ่อแม่ด้วยวิธีการที่คล้ายๆ กัน วิธีการที่ว่าจะเป็นอะไรบ้างนั้น ไปติดตามกันเลย

1. ให้ลูกทำงานบ้าน

ถ้าลูกไม่เคยทำงานบ้านเลย นั่นก็หมายความว่า มีคนอื่นคอยทำให้ตลอด พ่อแม่หลายท่านอาจเลี้ยงลูกแบบตามใจ อยากให้ลูกสบายจึงทำให้ทุกอย่าง แต่การให้ลูกทำงานบ้านนั้น จะเป็นการช่วยฝึกให้ลูกมีความรับผิดชอบ รู้จักหน้าที่ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ซึ่งจะทำให้เขาเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างไม่มีปัญหา มีความเห็นอกเห็นใจ และคอยช่วยเหลือผู้อื่น อีกทั้งยังทำสิ่งที่ได้รับมอบหมายได้ด้วยตัวเองอย่างมีประสิทธิภาพ

2. มีความคาดหวังในตัวลูก

ผลการสำรวจจากเด็กกว่า 6,600 คน พบว่า การที่พ่อแม่ตั้งความหวังในตัวลูกไว้สูงมีส่วนสำคัญต่อพัฒนาการของลูก ซึ่งผู้ปกครองที่วางแผนการเรียนให้ลูก คิดถึงมหาวิทยาลัยในอนาคตสำหรับเด็ก และมั่นใจว่าลูกจะทำได้ จะส่งผลทำให้เค้ามีความพยายาม และประสบความสำเร็จได้ แต่อย่าลืมคุยกับลูกถึงความชอบของลูกก่อน เพราะไม่เช่นนั้นอาจจะกลายเป็นการบังคับ ซึ่งจะส่งผลเสียต่อคุณและลูกได้

3. ใช้เวลาอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัว

เด็กส่วนใหญ่ที่มาจากครอบครัวที่พ่อแม่ทะเลาะกันบ่อยๆ มีปัญหาหย่าร้าง หรือไม่ค่อยมีเวลาอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัว เพราะมัวแต่ทำงานมากจนเกินไป มักจะมีปัญหาเกี่ยวกับสภาพจิตใจซึ่งส่งผลโดยตรงต่อพัฒนาการเรียนรู้ของเด็ก ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่จึงควรหาเวลาเพื่อทำกิจกรรมร่วมกันเป็นครอบครัวให้มากๆ หากคุณพ่อคุณแม่ใช้เวลาร่วมกันมาตั้งแต่ลูกยังอยู่ในท้อง ไปจนลูกเติบโต ก็จะทำให้ลูกได้รับความอบอุ่นจากพ่อแม่ ซึ่งจะส่งผลดีต่อการเรียนรู้ของเด็ก

...

4. สอนเลขให้ลูกตั้งแต่ยังเล็ก

ครอบครัวที่มีการสอนให้ลูกคิดเลขได้เร็วตั้งแต่ยังเล็ก จะทำให้เด็กสามารถทำความเข้าใจเรื่องอื่นๆ ได้ง่ายตามไปด้วย เด็กที่มีความสามารถทางคณิตศาสตร์มักจะมีทางเลือกในการเรียนต่อ และมีทางเลือกในการทำงานมากมาย อีกทั้งผลการค้นคว้าวิจัยแสดงให้เห็นว่า เด็กส่วนใหญ่ที่เก่งคณิตศาสตร์ยังรักการอ่านหนังสืออีกด้วย และสิ่งนี้เองที่จะช่วยให้ลูกเป็นเด็กอัจฉริยะได้ในอนาคต

5. ไม่เครียดในบ้าน

แน่นอนว่า ทุกคนล้วนย่อมมีความเครียดด้วยกันทั้งนั้น ซึ่งถ้าจะไม่ให้เครียดเลย คงเป็นไปได้ยาก ไม่ว่าจะเป็นความเครียดเรื่องงาน เรื่องเงิน หรือเรื่องครอบครัว แต่เด็กตั้งแต่แรกเกิดไปจนถึง 11 ขวบ เป็นช่วงที่สำคัญที่สุดในการกำหนดอนาคตของเด็ก หากพ่อแม่มีความเครียด ก็จะส่งผลต่อไปยังลูก บางครอบครัวอาจจะมีการลงไม้ลงมือ ดุด่า ว่ากล่าวอย่างรุนแรงกับลูกเพราะความเครียด ซึ่งนั่นจะส่งผลเสียกับเด็กอย่างร้ายแรง และจากการสำรวจก็พบว่า ครอบครัวที่มีลูกฉลาด พ่อแม่มักจะอารมณ์ดี ไม่แสดงความเครียดจนไปลงที่ลูก
เลี้ยงลูกอย่างไร ให้เป็นอัจฉริยะ

6. เผด็จการกับลูกบ้าง

คำว่าเผด็จการในที่นี้ไม่ได้หมายความว่า ต้องคอยออกคำสั่งลูก สั่งอะไรลูกก็ต้องทำ แต่เป็นการเลี้ยงลูกให้อยู่ในกรอบบ้าง ไม่ใช่ตามใจไปเสียทุกอย่าง และชักจูงลูกให้ทำเรื่องต่างๆ อย่างมีเหตุผล อธิบายให้เค้าเข้าใจว่าต้องทำเพราะอะไร ดีอย่างไร ไม่ดีอย่างไร เพราะจะทำให้ลูกรู้ถึงเหตุผล ไม่เก็บกด ไม่เป็นเด็กเอาแต่ใจ และทำให้ลูกมีความเคารพต่อพ่อแม่

7. เก็บเงินเพื่อลูกตั้งแต่เนิ่นๆ

เพราะต้นทุนของคนเรานั้นไม่เท่ากัน แต่การที่พ่อแม่มีเงินเก็บเพียงพอที่จะส่งเสียให้ลูกได้เรียนดีๆ ก็เท่ากับว่าเข้าใกล้ความสำเร็จล่วงหน้าไปแล้ว 1 ขั้น สำหรับครอบครัวที่มีฐานะดีอยู่แล้วก็อาจจะไม่กังวลเพราะสามารถส่งลูกเรียนในระดับสูงได้เรื่อยๆ แต่สำหรับครอบครัวอื่นๆ แล้ว การวางแผนทางการเงินไว้ตั้งแต่ลูกยังไม่เกิด จะทำให้มีเงินเก็บไว้ใช้เลี้ยงลูกและทำให้ครอบครัวมีความสุขได้ในอนาคต

8. สอนลูกให้พยายาม

หากลูกต้องทำอะไรสักอย่าง พ่อแม่ควรปล่อยให้เขาลองทำไป ไม่ควรเข้าไปทำให้ตลอดเวลา แม้ว่าลูกจะทำไม่ได้ในทีแรก และร้องไห้ขอความช่วยเหลือก็ตาม

พ่อแม่ที่มีลูกเก่งมักจะค่อยๆ อธิบายให้ลูกได้รู้ถึงวิธีการต่างๆ และอธิบายสาเหตุของปัญหาต่างๆ อย่างใจเย็น และไม่ใจอ่อนช่วยทำให้ลูกทุกครั้งที่เขาร้องไห้

อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญนอกเหนือจากที่กล่าวมาข้างต้น คือเรื่องของการสื่อสาร คุณพ่อคุณแม่ควรช่วยกันคิด ช่วยกันวางแผนอนาคตของลูกตั้งแต่เนิ่นๆ และเมื่อลูกโตพอที่จะเข้าใจได้ ก็อย่าลืมเปิดใจพูดคุยกับลูกในสิ่งที่เขารัก ที่เขาต้องการจะเป็นด้วยนะครับ

หรือหากพ่อแม่ท่านไหน มองหาอุปกรณ์ไอที และสื่อการสอนเพื่อเสริมสร้างพัฒนาการต้องที่นี่เลย Advice Online