นาทีนี้เครื่องดื่มที่สาวๆ เทใจให้มากที่สุดคงหนีไม่พ้น "ชาไข่มุก" (ทั้งแบบใส่นมและไม่ใส่นม) ความฟินมันไม่ได้อยู่แค่การได้ดูดดื่มเครื่องดื่มให้สดชื่นตื่นเต็มตาเท่านั้น แต่มันอยู่ที่การได้เคี้ยว "เม็ดไข่มุก" หนึบหนับ กินคู่กับน้ำชาเย็นๆ หอมๆ แล้วยิ่งอร่อยเข้ากันแบบคูณสอง
ว่าแต่...เจ้าเครื่องดื่มชนิดนี้ มันมาจากไหน? แล้วทำไมถึงได้ฮอตฮิตทุกวงการนักชิมขนาดนี้ มีตั้งแต่ราคาถูกแก้วละ 20 บาท ไปจนถึงแบบพรีเมียมราคาแก้วละร้อยกว่าบาท ล่าสุดกระแส "ชาไข่มุก" ก็ลามไปถึงแบรนด์เครื่องดื่มเงือกเขียวเจ้าดัง ก็อดไม่ได้ที่จะต้องออกเมนูใหม่ที่ใส่ "เม็ดเพิร์ลรสกาแฟ" ในแก้วด้วย OMG!
กระแสมาแรงสุดฉุดไม่อยู่ขนาดนี้ Thairath Women เลยจะขอพาคุณไปย้อนรอยเส้นทางของ "ชาไข่มุก" ว่าเข้ามามีอิทธิพลกับนักชิมทั่วโลกได้อย่างไร รวมถึงแนะนำ How to วิธีกิน "ชาไข่มุก" แบบไม่อ้วน ที่เราเอามาฝากสาวๆ สายเฮลตี้กันด้วยจ้า
"ชาไข่มุก" ไม่ใช่ของไทย แล้วมาจากไหน?
เมื่อราวๆ ปี ค.ศ.1980 ที่เมือง Taichung ไต้หวัน ระหว่างการประชุมของร้านชา "ชุนฉุ่ยถัง" (Chun Shui Tang Teahouse) ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ชื่อ หลินชิ่วฮุย (Lin Hsiu Hui) เกิดเบื่อๆ และนึกสนุกขึ้นมา โดยการผสมขนม Fen Yuan ลงไปในชาอัสสัมเย็นของเธอ พอเธอชิมและแบ่งให้ผู้ร่วมประชุมได้ลองก็ค้นพบว่ามันอร่อยและน่าสนใจมาก จึงได้นำไปขายที่ร้านชุนฉุ่ยถัง
นับแต่นั้นมา "ชาไข่มุก" ก็กลายเป็นเมนูยอดฮิตของทางร้าน จนผ่านมากว่า 20 ปีแล้ว โดยรายได้ของทางร้านกว่า 80% ก็มาจากเจ้าชานมไข่มุกที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญนี่เอง
...
บ้างก็ว่า..."ชาไข่มุก" น่าจะมีที่มาจากร้าน "ชาหานหลิน" ที่เมือง Tainan ไต้หวัน ของนายถัวซ่งเหอ เขาใส่เม็ดสาคูสีขาวลงไปในชา ทำให้มันเหมือนไข่มุก เป็นที่มาของคำว่า "ชาไข่มุก" หลังจากนั้นไม่นาน ร้านชาหานหลินเปลี่ยนสีสาคูจากสีขาวเป็นสีดำแบบที่นิยมกันในปัจจุบัน
ช่วงปี ค.ศ.1990 เครื่องดื่มชนิดนี้เป็นที่นิยมมากในเอเชียตะวันออก และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถัดมาในปี ค.ศ.2012 ร้านแมคคาเฟ่ของแมคโดนัลด์ สาขาในประเทศเยอรมนีและออสเตรีย เริ่มจำหน่ายชาไข่มุก มีให้เลือกน้ำชาหลากหลายแบบ ทั้งชาดำ ชาเขียว และชาขาว เลือกได้ทั้งใส่นมและไม่ใส่นม รวมถึงใส่ในชาผลไม้รสต่างๆ ครีเอตเมนูใหม่ขึ้นมาได้กว่า 250 เมนู
"ชาไข่มุก" เริ่มเป็นที่รู้จักครั้งแรกในประเทศไทยเมื่อประมาณ พ.ศ.2542-2544 ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่วัยรุ่น เกิดเป็นกระแสเครื่องดื่มแฟชั่น แต่ด้วยข้อจำกัดทางรสชาติที่ไม่หลากหลาย จึงไม่ค่อยติดลมบนเท่าไร จนเมื่อประมาณ พ.ศ.2554 ธุรกิจชานมไข่มุกเริ่มกลับมาเติบโตอีกครั้ง เริ่มมีรสชาติหลากหลายมากขึ้น "เม็ดไข่มุก" สามารถใส่เครื่องดื่มได้หลากหลายมากขึ้น ไม่จำกัดแค่ชานมและชาผลไม้ คือใส่ได้ทั้งชาไทย ชาเขียว กาแฟ และโกโก้
เม็ดไข่มุก ทำมาจากอะไรกันแน่?
สำหรับเม็ดไข่มุกในปัจจุบันมีหลากหลายแบบมาก แต่แบบออริจินัลสีดำที่เราคุ้นลิ้นกัน เป็นเม็ดไข่มุกที่ทำมาจากแป้งมันสำปะหลัง และที่มีสีดำก็เกิดจากการผสมผสานระหว่างแป้งมันสำปะหลัง ผงโกโก้ น้ำตาลทรายแดง และน้ำเปล่า ผ่านกรรมวิธี ผสม ต้ม และนวดให้เข้ากัน
ส่วนใหญ่เม็ดไข่มุกจากไต้หวันจะนุ่มเหนียว แต่ละเจ้าจะมีความเหนียวหนึบไม่เท่ากัน ยิ่งเจ้าไหนนวดแป้งนาน ก็ยิ่งได้เม็ดไข่มุกที่นุ่มหนึบมากขึ้น
ต่อมามีการพัฒนาเม็ดไข่มุกในรูปแบบที่หลากหลายมากขึ้น เช่น เม็ดไข่มุกสีทอง เม็ดบุกไข่มุก ไข่มุกเจลลี่ และไข่มุกที่ทำมาจากแป้งข้าวไรซ์เบอร์รี่
ตลาด "ชาไข่มุก" เติบโตสุดๆ
หลายคนสงสัยว่าเครื่องดื่ม "ชาไข่มุก" หรือ "ชานมไข่มุก" มีมานานแล้ว แต่ทำไมจู่ๆ ถึงกลับมาฮอตฮิตอีกครั้ง? แถมครั้งนี้เป็นโปรดักซ์ที่มาแรงแซงทางโค้งเครื่องดื่มชนิดอื่นๆ แทบไม่เห็นฝุ่น มาแรงทั้งในไทยและต่างประเทศ ตลาดชาไข่มุกใน 2-3 ปีมานี้ เติบโตไม่หยุด มีให้ซื้อกินตั้งแต่ร้านเล็กๆ ตามตรอกซอกซอย ไปจนถึงร้านสุกี้เจ้าดัง และลามไปยังร้านแบรนด์เงือกเขียวอย่างที่บอกไปข้างต้น
...
ที่เป็นแบบนี้ ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากเทรนด์การท่องเที่ยวไต้หวันมาแรงมากขึ้น หนุ่มสาวขาเที่ยวชาวไทยนิยมเดินทางไปเที่ยวไต้หวัน ซึ่งเป็นแหล่งสตรีทฟู้ดโด่งดังอีกแห่งหนึ่งของโลก และยังเป็นต้นกำเนิดของเครื่องดื่มชนิดนี้ ทำให้ผู้ประกอบการบางรายอาจได้ไอเดียการทำ "ชาไข่มุก" มาทำขายที่เมืองไทย แล้วดันขายดีซะด้วย
มีข้อมูลจาก Allied Market Research ที่ได้ประเมินตลาดชานมไข่มุกทั่วโลกปัจจุบัน พบว่ามีมูลค่าราว 61,137 ล้านบาท และคาดว่าภายในปี 2023 มูลค่าตลาดชานมไข่มุกทั่วโลกจะโตถึง 100,405 ล้านบาท
"ชาไข่มุก" ศัตรูร้ายคนลดน้ำหนัก
แม้ว่าเครื่องดื่ม "ชาไข่มุก" จะอร่อยหอมมันแค่ไหน แต่การบริโภคที่มากเกินพอดี (กิน 2-3 แก้วต่อวัน) ก็ย่อมส่งผลเสียต่อร่างกายของคุณแน่นอน ทั้งเสี่ยงโรคเบาหวาน โรคความดัน เสี่ยงภาวะเสพติดกาเฟอีนในน้ำชา น้ำหนักขึ้น หรือภาวะอ้วนลงพุง
โดยเฉพาะ "สาวออฟฟิศ" ที่กำลัง "ลดน้ำหนัก" เรียกได้ว่าชาไข่มุกเป็นศัตรูตัวฉกาจ เพราะชาไข่มุก 1 แก้ว ให้พลังงานสูงถึง 240-360 แคลอรี (ขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำเชื่อม นม และครีมที่ใส่ลงไป) บางร้านเม็ดไข่มุกที่ใช้ก็ถูกแช่ในน้ำเชื่อมหวานเจี๊ยบ
...
เม็ดไข่มุกจัดอยู่ในอาหารหมวดเดียวกับแป้งและน้ำตาล โดยไข่มุก 30 กรัม ให้พลังงาน 100 แคลอรี ซึ่งพลังงานที่ได้จากการดื่มชานมไข่มุกใกล้เคียงกับการรับประทานก๋วยเตี๋ยวเย็นตาโฟ 1 ชาม ที่ให้พลังงาน 326 แคลอรี หรือเทียบเท่ากับข้าวสวย 3-4 ทัพพีเลยทีเดียว
ผศ.ดร.เรวดี จงสุวัฒน์ หัวหน้าภาควิชาโภชนวิทยา คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เคยให้ข้อมูลไว้ว่า ชาไข่มุกจัดอยู่ในกลุ่มเดียวกับพวกกาแฟเย็น ซึ่งกาแฟเย็น ชาเย็น กำลังเป็นปัญหาอยู่ในขณะนี้ เพราะวัยรุ่นและวัยทำงานบริโภคกันเยอะมาก ซึ่งอาจสัมพันธ์กับภาวะน้ำหนักเกินของคนไทย แนะนำว่าควรดื่มชาไข่มุกให้น้อยลง หรือนานๆ ดื่มครั้ง เพราะชาไข่มุกหวานมาก (มีน้ำตาลทรายมากถึงแก้วละ 5-6 ช้อนชา)
How to กิน "ชาไข่มุก" ยังไงไม่อ้วน?
แล้วถ้าเกิดสาวๆ อยากกินชาไข่มุกขึ้นมาจริงจังแบบ "ชาไข่มุกจะช่วยเยียวยาทุกสิ่ง" ขนาดนั้นล่ะก็...ควรมีวิธีเลือกกินแบบพอดี กินแบบรักษาสุขภาพสักนิด และไม่ทำให้อ้วน ซึ่งเรามี How to ง่ายๆ มาบอกต่อค่ะ
...
1. กินชาไข่มุก ต้องตัดใจเมนูอื่น
ถ้าวันไหนคุณจะกิน "ชาไข่มุก" หรือ "ชานมไข่มุก" ให้คิดไว้เลยว่าวันนั้นคุณต้องตัด calorie จากอาหาร ขนม หรือ Fast food อื่นๆ ออกไปให้ได้อย่างน้อย 300-400 แคลอรี ตัวอย่างเช่น หากวันนี้กินชานมไข่มุกแล้ว ก็ควรลดอาหารในกลุ่มแป้งให้น้อยลง งดของหวานจัด งดของทอด งดไก่ทอดและพิซซ่า เน้นกินโปรตีนและผักผลไม้แทน
2. กินทีละครึ่งแก้ว!
สมมติว่าซื้อชานมไข่มุกแก้วใหญ่มา แทนที่จะกินให้หมดภายในคราวเดียว ลองแบ่งกิน 2 วันก็ได้นะ จะได้รับแคลอรีน้อยลงในแต่ละวัน วันแรกกินครึ่งแก้ว ที่เหลือใส่ตู้เย็นไว้ วันถัดมาก็ค่อยกินอีกครึ่งแก้ว รสชาติยังใช้ได้อยู่ ช่วยแก้โหยชานมไข่มุกไปได้อีกวัน แคลอรีต่อวันใน 1 แก้ว ลดลงจากเดิมได้ประมาณ 180 แคลฯ เลยทีเดียว
3. เลือกกินชาผลไม้แทนชานม
อีกหนึ่งวิธีที่ช่วยได้คือ อย่ากินเฉพาะชานมไข่มุกเพียงเมนูเดียว ลองเปลี่ยนไปเมนูอื่นๆ ที่ไม่ใส่นมบ้าง เช่น ชาเขียวมะลิแบบใส ชาผลไม้ต่างๆ เพื่อช่วยลดแคลอรีลงในแต่ละแก้วที่คุณซื้อ และควรเว้นระยะบ้าง ไม่ควรกินทุกวัน แต่ถ้าคนไหนเริ่มติดจนต้องกินทุกวัน ให้ค่อยๆ ลดปริมาณลง จากวันละแก้วให้เหลือแค่วันเว้นวัน จากนั้นลดเหลือสัปดาห์ละ 2-3 ครั้งก็พอ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้น้ำหนักตัวพุ่งทะลุเพดาน
4. เลือกชนิดของ "เม็ดไข่มุก"
จริงอยู่ที่ว่าเม็ดไข่มุกออริจินัลแบบดั้งเดิมนั้นอร่อยเข้ากันกับชาที่สุด แต่มันก็อุดมไปด้วยคาร์โบไฮเดรตและน้ำตาล ซึ่งตอนนี้คุณมีเม็ดไข่มุกทางเลือกสุขภาพอื่นๆ ให้เลือก เช่น เม็ดไข่มุกที่ทำจากบุก แคลอรีน้อยกว่าเม็ดไข่มุกสูตรเดิมกว่าครึ่ง หรือจะเป็นเม็ดไข่มุกที่ทำจากข้าวไรซ์เบอร์รี่จากบางร้าน ที่ให้แคลอรีน้อยก็เป็นตัวเลือกที่ดีเช่นกัน
5. ทำชาไข่มุกกินเอง
สำหรับคนที่มีเวลา หรือคนที่เคร่งครัดเรื่องการควบคุมอาหารมากๆ เมื่ออยากกินชาไข่มุกขึ้นมา ก็อาจหาทางออกด้วยการซื้อเม็ดไข่มุกมาต้มเอง แล้วไม่ต้องแช่ในน้ำเชื่อม ส่วนชานมก็เน้นใช้ส่วนผสมที่เป็น Low Fat Milk กับผงโปรตีนเชค ผงชานมนิดหน่อย และใช้น้ำเชื่อมหญ้าหวานมาชงแทนน้ำตาลทราย ทำออกมาแล้ว 1 แก้ว ให้พลังงานไม่เกิน 200 แคลอรี
เอาเป็นว่าใครชอบวิธีไหนก็ลองเอาไปปรับใช้กันดูนะคะ แล้วมาติดตามอ่านเรื่องราวที่น่าสนใจและความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับ "ผู้หญิง" กันต่อได้ที่ Thairath Women
ดื่มชาไข่มุกแสนอร่อยจนหมดแก้วแล้วอย่าลืมไปช้อปออกกำลังกาย ด้วย ส่วนลด super sport ชุดออกกำลังกายราคาประหยัด
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ :
"กาแฟ" เครื่องดื่มคู่สาวออฟฟิศ ดื่มยังไงให้สุขภาพดี?
ที่มา : bottomlineth, starbucks, mangozero, thailandpostmart, fitjunctions, thaihealth