เมืองไทยเข้าสู่ฤดูฝนแล้วสินะ! เอะอะๆ ฝนตกตลอด เลิกงานทีไรฟ้าครึ้มมาเลยจ้า "สาวออฟฟิศ" คงตากฝนกลับบ้านบ่อยๆ จนไม่สบาย มีอาการของ "โรคหวัด" รุมเร้า ทั้งไอ จาม ปวดหัว ตัวร้อน บางคนเป็นหนักจนนอนซมไปหลายวันก็มี แม้จะไม่ใช่โรคร้ายแรง แต่พอโดนหวัดเล่นงาน มันไม่สนุกเลยค่ะคุณ!
Thairath Women เลยอยากชวน "สาวออฟฟิศ" มารู้จักสาเหตุของการเกิด "โรคหวัด" ว่าเกิดจากอะไรกันแน่? ทำไมชอบระบาดในช่วงหน้าฝน แล้วจะมีวิธีการแก้ไขและวิธีดูแล "สุขภาพ" ได้ยังไงบ้าง? มาดูกันค่ะ
สาเหตุ "ไข้หวัด" เกิดจากอะไร?
ไข้หวัด หรือ โรคหวัด เป็นโรคติดเชื้อไวรัสในทางเดินหายใจส่วนต้นที่ส่งผลกระทบต่อจมูกและคอ อาการที่สำคัญของโรคมีทั้งไอ เจ็บคอ น้ำมูกไหล และไข้ โดยมีสาเหตุเกิดจากสิ่งเหล่านี้ คือ
- เกิดจาก "เชื้อหวัด" ซึ่งเป็นไวรัส (Virus) ที่มีอยู่มากกว่า 200 ชนิด จากกลุ่มไวรัส 8 กลุ่มที่มีอยู่ในอากาศ
- ร่างกายอ่อนแอ ภูมิคุ้มกันต่ำ
...
- อุณหภูมิร่างกายเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เช่น เมื่อตัวเปียกฝน ร่างกายจะเย็นลงอย่างรวดเร็ว
- มักเกิดขึ้นได้ง่ายช่วงเปลี่ยนผ่านฤดูกาล
- อาการ "ไข้หวัด" ที่พบได้ทั่วไป คือ คัดจมูก จาม น้ำมูกไหล คอแห้ง เจ็บคอ ไอแห้งๆ หรือไอมีเสมหะเล็กน้อย ปวดหนักศีรษะเล็กน้อย อ่อนเพลีย ปวดกล้ามเนื้อ มีแสบตา เสียงแหบ และอาจมีไข้ได้ แต่เป็นไข้ไม่สูง (ไม่เกิน 38 องศาเซลเซียส) แต่สาวๆ สามารถดูแลตัวเองเบื้องต้นได้ และมักจะหายไปได้เองภายใน 7 วัน ไม่จำเป็นต้องไปหาหมอ
How to "แก้หวัด" ให้ "สาวออฟฟิศ"
ถ้าคุณดัน "เป็นหวัด" ขึ้นมา ควรดูแลตัวเองอย่างไร เพื่อให้หายได้เร็ว ช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูได้เร็วขึ้น ให้ทำตามคำแนะนำเหล่านี้ค่ะ
1. รักษาตามอาการ
หากเริ่มเป็นหวัด อาการแรกๆ ที่มักจะแสดงให้เห็น คือ ไอ จาม ตัวร้อน เจ็บคอ ให้คุณระมัดระวังในการอาบน้ำ อย่าอาบน้ำเย็นจัดเกินไป และพยายามรักษาความอบอุ่นให้ร่างกาย เช่น
- ถ้าตัวร้อนมากให้รับประทานยาลดไข้ ครั้งละ 1 เม็ด ทุกๆ 4-6 ชม.
- ถ้ามีอาการเจ็บคอให้ดื่มน้ำอุ่น หรือน้ำอุ่นผสมน้ำมะนาวและน้ำผึ้ง ช่วยแก้อาการเจ็บคอได้
- ถ้าคัดจมูก หายใจไม่สะดวก ให้ใช้ยาหม่องน้ำหรือยาขี้ผึ้งที่มีส่วนประกอบของ การบูร น้ำมันยูคาลิปตัส เกล็ดสะระแหน่ มาทาบริเวณปลายจมูก ขมับ หรือหน้าอก ก็จะช่วยบรรเทาอาการได้
2. รักษาความอบอุ่น
ถ้าตากฝนกลับบ้าน พอถึงบ้านให้รีบอาบน้ำ เช็ดตัว เปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าแห้งให้ไว เวลาที่เราเปียกฝน อุณหภูมิร่างกายจะลดลงอย่างกะทันหัน จะยิ่งทำให้ป่วยมากขึ้นไปอีก ดังนั้นวิธีแก้คือ พอหลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแห้งๆ แล้ว อาจหาเสื้อแขนยาวใส่เพิ่ม ใส่เสื้อผ้าหนาๆ ดื่มเครื่องดื่มอุ่นๆ เช่น น้ำขิงร้อน เป็นต้น เพื่อช่วยให้ร่างกายรักษาความอบอุ่นอยู่เสมอ ช่วย "แก้หวัด" ให้หายเร็วขึ้น
3. กินสมุนไพร "แก้หวัด"
นายแพทย์วชิระ เพ็งจันทร์ อธิบดีกรมอนามัย แนะนำว่า อีกหนึ่งวิธีที่ทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นได้เร็ว คือ การกินอาหารต้านโรค โดยเลือกอาหารที่ปรุงสุกใหม่ ปรุงด้วยสมุนไพรไทย เช่น ขิง ข่า ตะไคร้ ใบกะเพรา กระชาย เป็นต้น เพราะเป็นอาหารที่มีความเผ็ดร้อน เป็นการเพิ่มอุณหภูมิให้แก่ร่างกาย ช่วยไล่หวัดได้ และควรเป็นอาหารอ่อนๆ เช่น ซุปไก่ โจ๊กใส่ขิง ต้มจืดหมูสับใส่ขิง เป็นต้น
...
4. นอนเยอะๆ ดื่มน้ำเยอะๆ
ช่วงที่ร่างกายป่วยเป็น "ไข้หวัด" ร่างกายจะเข้าสู่โหมดทำงานหนัก ในการผลิตเม็ดเลือดขาวออกมาฆ่าเชื้อโรค หัวใจจะเต้นเร็วขึ้น ร่างกายจะมีอุณหภูมิสูงหรือมีอาการไข้นั่นเอง คุณควรดูแลร่างกายในช่วงอ่อนแอนี้ให้ดีด้วยการเช็ดตัวบ่อยๆ ให้ไข้ลดลง นอนเยอะๆ เพื่อให้ร่างกายฟื้นฟูตัวเองได้เร็ว รวมถึงการดื่มน้ำเปล่าเยอะๆ เพื่อช่วยลดอุณหภูมิลงได้อีกทางหนึ่ง และช่วยให้ร่างกายดึงน้ำไปใช้ในกระบวนการผลิตเซลล์เม็ดเลือดขาวได้อย่างดี
5. กินวิตามินเสริม
วิธีดูแลตัวเองอีกอย่างคือ อาจจะหาวิตามินมากินบำรุงร่างกาย เน้นเป็นพวกวิตามินที่มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ เช่น เบตาแคโรทีน(วิตามินเอ) วิตามินซี วิตามินอี ช่วยกำจัดเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย ป้องกันการติดเชื้อได้
แต่ถ้ามีไข้สูงและไข้ไม่ลดลงภายใน 1-3 วัน หรือมีไข้ร่วมกับผื่นขึ้น ไอมาก เจ็บคอมาก หรือรับประทานอาหารได้น้อย มีเสมหะสีเหลืองหรือเขียว ปวดศีรษะ เจ็บตำแหน่งไซนัสมากขึ้น หายใจหอบเหนื่อย หายใจลำบาก เจ็บหน้าอก หรืออาการต่างๆ เลวลง ควรไปพบแพทย์เพื่อรักษาแบบเจาะจงได้มากขึ้น
...
ติดตามอ่านเรื่องราวที่น่าสนใจและความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับ "ผู้หญิง" ได้ที่นี่ ไลฟ์สไตล์ไทยรัฐ
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ :
ที่มา : medthai, thaihealth
...