คุณแน่ใจแล้วเหรอว่า 'การล้างหน้า' ของคุณนั้นถูกต้อง !? หากแต่หลังการล้างหน้าหลายคนมีรอยแดง ผดผื่น และสิวเม็ดน้อยใหญ่ขึ้นมากมาย ลองเปลี่ยนมาใช้ผลิตภัณฑ์หลากหลาย หรือใช้ยาแต้มตัวไหนก็ไม่หายสักที จนคุณเริ่มท้อใจกับใบหน้าไม่เรียบเนียน จะดีกว่าไหมถ้าคุณแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ หันมาเปลี่ยน 'พฤติกรรมการล้างหน้า' แทน ไม่ให้รบกวนผิวสวยของคุณ …

และนี่คือ 8 พฤติกรรมการล้างหน้าแบบผิดๆ ที่กำลังทำร้ายผิวสวยใสของคุณอยู่ตอนนี้ !

1. ใช้ผลิตภัณฑ์ผิด-ไม่เหมาะกับสภาพผิวหน้า

สาวๆ หลายคนอาจมองข้ามไป เพราะคิดว่าจะใช้ผลิตภัณฑ์ตัวไหนกับผิวหน้าก็ได้ แต่ทว่าจริงๆ แล้วมันเป็นอีกสาเหตุสำคัญที่ทำให้ใบหน้าของคุณไม่สะอาดหมดจด และเกิดสิ่งสกปรกตกค้างสะสมบนใบหน้า โดยเฉพาะคลีนเซอร์ลบเครื่องสำอาง หากคุณเลือกใช้คลีนเซอร์ไม่เข้ากับสภาพผิวหน้า แถมด้อยประสิทธิภาพ มันก็อาจทำให้คุณแพ้ และเกิดอาการระคายเคืองจนเกิดผดผื่นเม็ดเล็กๆ ตามมาได้ ที่สำคัญคุณจะต้องออกแรงเช็ดทำให้เกิดรอยแดงบนใบหน้า (ซึ่งนั่นก็ไม่ทำให้ใบหน้าคุณสะอาดเพียงพอ) และทำให้น้ำมันธรรมชาติบนผิว รวมทั้งเซลล์ผิวต่างๆ หลุดออกมากเกินไป

ทางที่ดีเช็กสภาพผิวหน้า และเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับผิวหน้าคุณอย่างพอดีๆ ไม่อ่อนโยนกับผิวหน้าจนเกินไป (คุณต้องล้างน้ำ 2 ครั้ง หรือสครับอย่างหนักหลังจากล้างหน้า เพื่อขัดขจัดเซลล์ผิวตายให้หมดไป) และไม่หยาบกระด้าง-รุนแรงกับผิวหน้ามากเกินไป (ซึ่งจะทำให้ผิวหน้าของคุณเกิดรอยแดง แสบระคายเคือง หรือทำให้หน้าลอกเป็นขุยหลังจากผิวหน้าแห้ง)

...

2. ล้างหน้ามากเกินไปต่อวัน

ใครที่คิดว่าล้างหน้ามากๆ ต่อวัน แล้วจะดีกับใบหน้าเสมือนให้ความชุ่มชื่นเป็นอาหารผิว คุณคงต้องเปลี่ยนความคิดแล้วล่ะ เพราะจริงๆ แล้ว การล้างหน้าบ่อยๆ นั้นจะเป็นการทำร้ายผิวหน้าให้เกิดการระคายเคือง และทำให้ใบหน้าผลิตความมันที่มากเกินไปต่อวันซะมากกว่า (เป็นเหตุให้เกิดสิวเสี้ยน และรูขุมขนอุดตัน) เพื่อผิวหน้าที่สวยกระจ่างใส เราแนะว่าคุณควรล้างหน้าวันละ 1-2 ครั้งก็เพียงพอแล้ว ยิ่งถ้าวันไหนคุณไม่แต่งหน้า ไม่ลงครีมกันแดดด้วยแล้ว ยิ่งดีใหญ่ เพราะวันนั้นผิวหน้าของคุณจะได้มีการพักผ่อนอย่างเต็มที่ ข้ามขั้นตอนคลีนซิ่งทำร้ายผิว เหลือแค่ล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นแบบพอดีๆ

3. ใช้อุณหภูมิน้ำเย็นล้างหน้า

คุณอาจเคยได้ยินว่า น้ำอุ่นจะช่วยเปิดขยายรูขุมขนบนใบหน้า และน้ำเย็นจะช่วยปิดรูขุมขนกว้างของคุณเล็กลง จนคุณเลือกใช้น้ำเย็นล้างหน้าเป็นนิสัย แต่ทว่านั่นเป็นความเชื่อที่โกหกทั้งเพ เพราะความจริงแล้วรูขุมขนบนใบหน้านั้น ไม่มีกล้ามเนื้อที่จะสามารถเปิดขยาย หรือหดตัวลงเองได้ และหากเทียบน้ำอุ่นกับน้ำเย็นแล้ว เราแนะให้คุณเลือกใช้น้ำอุ่นล้างหน้ามากกว่า เพราะน้ำอุ่นจะให้ความรู้สึกดีกับผิวหน้าของคุณ ทำให้รู้สึกสบายและผ่อนคลาย พร้อมปกป้องความมันบนใบหน้าของคุณได้ดีมากกว่า อีกทั้งคุณควรใช้น้ำอุ่นในอุณหภูมิที่พอเหมาะ เพื่อทำความสะอาดผิวหน้าคุณอย่างอ่อนโยน และไม่เกิดการระคายเคืองใดๆ

4. ขัดผิวหน้ามากเกินไป

การขัดผิวหน้าเพื่อขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไป มันก็ดีอยู่หรอกนะ แต่ถ้าคุณขัดบ่อยๆ และขัดแรงเกินไปในแต่ละครั้ง มันอาจทำให้ใบหน้าคุณเกิดรอยแดง และหยาบกร้านได้ อย่างมากสุดคุณควรขัดผิวหน้าเป็นประจำ 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ ก็โอเคแล้วล่ะ ซึ่งคุณอาจสครับผิวหน้าด้วยการใช้เม็ดบีทหยาบๆ อย่างสครับน้ำตาลที่มาจากธรรมชาติ และสครับที่มีกรดของผลไม้ มันจะให้ความอ่อนโยนต่อผิวหน้าเป็นพิเศษ ผิวหน้าของคุณจะดูสดใส-เปล่งปลั่งขึ้น แถมยังไม่ระคายเคือง และเกิดอาการแพ้อีกด้วยนะ


5. ล้างหน้าไม่สะอาดเพียงพอ

ถึงจะใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าดีแค่ไหน แต่หากคุณไม่ล้างหน้าให้สะอาดเพียงพอ ใช้น้ำน้อยเกินไปในการล้างหน้า หรือรีบเร่งในการล้างหน้าแต่ละครั้ง มันก็นำไปสู่การสะสมเชื้อโรค แบคทีเรีย และฝุ่นละอองตกค้างบนใบหน้าอยู่ดี ซึ่งนั่นเป็นสาเหตุหลักของการเกิดสิว และรูขุมขุนอุดตัน (จนเกิดเป็นสิวเสี้ยน) ที่ทำให้คุณกังวลใจอยู่ตอนนี้ยังไงล่ะ อีกทั้งบางคนหลังล้างหน้าเสร็จ ผิวหน้ายังแห้งลอกเป็นขุย มันก็มาจากผิวหน้าของคุณไม่ได้รับความชุ่มชื้นจากน้ำเต็มที่น่ะสิ

...

ทางที่ดีอย่าละเลยดูแลผิวสวย และให้เวลากับการล้างหน้านานๆ ด้วยน้ำอุ่นสะอาดๆ ยิ่งโดยเฉพาะตอนกลางคืนหลังจากที่คุณเจอสิ่งสกปรก และมลภาวะต่างๆ พร้อมเมคอัพหนาเตอะมาทั้งวัน คุณยิ่งควรให้ความใส่ใจกับการล้างหน้าเป็นพิเศษ แม้คุณจะเหนื่อยแค่ไหนก็ตามที เพื่อใบหน้าสวยใส ป้องกันสิวเม็ดเล็กเม็ดน้อย หรือผดผื่นต่างๆ ที่อาจปรากฏให้คุณเห็นในรุ่งเช้า

ป.ล. ให้ความใส่ใจกับช่วงขากรรไกรล่าง บริเวณไรผมด้านบน-ด้านข้าง และบริเวณจมูก เพราะนั่นเป็นจุดที่ใครหลายคนละเลยมากที่สุด !


6. การเสียดสีผิวหน้าด้วยผ้าเช็ดตัว

เพื่อให้ใบหน้าแห้งเร็วทันใจ และมั่นใจว่าสะอาดอย่างหมดจด หลายคนอาจใช้ผ้าเช็ดหน้าถู หรือเช็ดแรงๆ ไปกับหน้า หากแต่การทำแบบนั้นมันจะเป็นการทำร้ายใบหน้าสวยๆ ของคุณโดยไม่รู้ตัว เพราะมันจะไปเสียดสีกับผิวหน้าทำให้เกิดรอยแดง และแสบเคืองตามมา เราแนะให้คุณใช้ผ้าเช็ดหน้านุ่มๆ สักผืนตบซับเบาๆ ให้แห้งก็พอแล้ว เพื่อถนอมใบหน้าสวยของคุณ อย่างไรก็ตาม มันจะดีกว่ามาก ถ้าคุณมีผ้าเช็ดหน้าเป็นของตัวเองแทนที่จะใช้ร่วมกับเพื่อนคนอื่นๆ (ถึงจะเป็นเพื่อนสนิทกันก็เถอะ) และหมั่นเปลี่ยนผ้าเช็ดหน้าบ่อยๆ สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ช่วยป้องกันการแพร่ของเชื้อโรค และแบคทีเรียในผ้าขนหนูแหล่งอันตรายสำหรับใบหน้าไร้สิวของคุณ

...

7. ใช้ผลิตภัณฑ์ตัวช่วยมากมาย

จ่ายเงินซื้อผลิตภัณฑ์ตัวช่วยบำรุงผิวหน้าที่มีคุณสมบัติดีๆ บอกคุณมากมาย เช่นว่า ผลิตภัณฑ์ตัวนี้ลดสิว และลบเลือนริ้วรอยต่างๆ ได้ นั่นอาจไม่เป็นการซื้อที่รอบคอบ และตอบโจทย์คุณเท่าไหร่นัก ถึงมันจะแสดงประโยชน์ให้คุณเห็นเป็นข้อๆ ก็ตาม มันจะดีกว่าไหม หากคุณมองหาผลิตภัณฑ์ตัวช่วยที่เรียบง่าย และมีส่วนประกอบของสมุนไพรธรรมชาติมากมาย ที่ให้ทั้งประโยชน์ และสารอาหารบำรุงผิวหน้าอยู่ได้เป็นเวลานาน แถมยังเซฟเงินของคุณในการลงทุนซื้อผลิตภัณฑ์แพงๆ ไปได้อีกเยอะ อย่างเซรั่ม และมอยส์เจอไรเซอร์ผสมว่านหางจระเข้

8. กลัวความมันบนใบหน้า

หลายคนเข้าใจว่า 'ความมัน' เป็นสาเหตุของรูขุมขนขยายกว้างขึ้น และทำให้เกิดรูขุมขนอุดตัน จนไม่อยากให้ความมันใดๆ อยู่บนใบหน้าสวยของคุณ ยิ่งเวลาหน้ามันเยิ้มขึ้น คุณก็ต้องคอยหมั่นเช็ดออกบ่อยๆ ส่งผลให้ใบหน้าเป็นรอยแดง และแสบระคายผิว แต่คุณรู้ไหมว่า มันมีวิธีแก้ที่ง่ายกว่านั้น และไม่ทำร้ายผิวสวยของคุณด้วย 'น้ำมันจากคลีนซิ่งออย' ! เพราะไม่ว่าจะสภาพผิวไหนก็แล้วแต่ ทั้งสภาพผิวแห้ง หรือสภาพผิวหน้าที่เยิ้มด้วยความมัน น้ำมันจากคลีนซิ่งจะช่วยละลาย-เจือจางความมันบนใบหน้า ทำความสะอาดล้างรูขุมขนที่สะสมสิ่งสกปรก และแบคทีเรียตกค้าง รวมทั้งช่วยบาลานซ์ผิวหน้าให้สมดุล เนียนเรียบสวยได้

...

เราอยากให้คุณมองหาคลีนซิ่ง ออย ที่มีส่วนผสมของธรรมชาติ (น้ำมันที่สกัดมาจากพืชต่างๆ) หรือจะเป็นน้ำมันอัลมอนด์คุณภาพสูง, น้ำมันเเอปปริคอท ที่อ่อนโยนกับผิวแพ้ง่าย ให้ความชุ่มชื้น และลดการระคายเคืองของผิว, น้ำมันสกัดเมล็ดองุ่น ช่วยชะลอริ้วรอยของผิวพรรณ ยืดอายุเซลล์ และซ่อมแซมฟื้นฟูผิวหน้าให้แข็งแรง, หรือน้ำมันเมล็ดดอกทานตะวัน ที่ให้ความอ่อนโยนกับผิวหน้า ก็ให้ผลลัพธ์ที่ดีกับใบหน้าไม่แพ้กัน

ป.ล. หากใครที่กำลังมองหาน้ำมันมะพร้าว และน้ำมันจากผลโอลีฟ มันอาจจะทำงานกับผิวหน้าของคุณได้ดีเป็นบางครั้งนะ …

ที่มา : womenshealthmag.com