ขอ 3 คำนิยามความเป็น “จูน–จรีพร จารุกรสกุล” ผู้สร้างอาณาจักรแสนล้าน “WHA GROUP” จนกลายเป็นผู้นำอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ของอาเซียน มากกว่าคำว่าโสดสวยรวยเก่งใจดี แม่ทัพใหญ่แห่งกลุ่มดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ยืนกรานว่า จูนเป็นคนชัดเจนในตัวเองมาแต่ไหนแต่ไร และจริงใจมาก ที่สำคัญคืออึดและขยันมาก ถ้าให้นิยามตัวเองก็คือชัดเจน จริงจัง และขยันในการทำทุกเรื่อง เรียกว่าสร้างอาณาจักรมาด้วยหยาดเหงื่อ ไม่มีคำว่าฟลุก!!

“จูนเป็นคนชัดเจนมาก รู้ตั้งแต่อายุ 10 ขวบว่าโตขึ้นต้องการเป็นนักธุรกิจ พอรู้จุดมุ่งหมายของตัวเองแล้ว เราก็จริงจังที่จะค้นหาตัวเอง เพื่อสร้างตัวเองให้ไปสู่จุดมุ่งหมายตรงนั้นให้ได้ เวลาทำอะไรจะจริงจังมากๆ และขยันมากๆ เพราะเชื่อว่ามันไม่มีอะไรที่ประสบความสำเร็จโดยไม่อาศัยความตั้งใจมากๆ ขยันมากๆ และต้องอึดมากๆ มันไม่มีอะไรลอยมาจากฟ้าในแต่ละเรื่องที่ได้มา”...แม่ทัพหญิงแห่งกลุ่มดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป เปิดใจถึงตัวตนจริงๆเป็นครั้งแรกกับทีมข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

คุณจูนโตมาในครอบครัวแบบไหน

เกิดในครอบครัวคนจีน ที่บ้านทำการ์เมนต์ขายส่งเสื้อผ้า คุณแม่จบแค่ ป.4 แต่รักลูกมาก ส่วนคุณพ่อเป็นคนจีนสมัยก่อนที่ดุกับด่าอย่างเดียว ในบรรดาพี่น้อง 5 คน จูนโดนดุด่าหนักที่สุดจนไม่เข้าใจ เรื่องเดียวกันถ้าเราทำจะโดนด่าว่าโง่และขี้เกียจ เราโตมาบนความไม่เท่าเทียมเหมือนเป็นเวนส์เดย์ไชลด์ สองคนโตเป็นผู้ชาย คนที่สามเป็นผู้หญิง พ่ออยากได้ลูกชายอีกคน แต่ดันคลอดเป็นเรา เขาคงผิดหวัง แม่เล่าว่าพอพ่อรู้ว่าคลอดเป็นผู้หญิงก็ไม่ไปเยี่ยมที่คลินิกเลย ญาติพ่อแม่มาจากเมืองจีนซื้อผลไม้เก็บให้เฉพาะหลานชาย 2 คน

เราถามทำไมเรากินไม่ได้เหรอ เขาบอกเราไม่ใช่หลานเพราะเป็นผู้หญิง ตอนเด็กเกือบไม่ได้เรียนหนังสือ เราเกิดที่กรุงเทพฯ แต่ตามครอบครัวไปอยู่บุรีรัมย์ ช่วง ม.4 จะขึ้น ม.5 ที่บ้านย้ายไปอยู่ขอนแก่น พ่อบอกเป็นลูกสาวไม่ต้องเรียนเยอะ ให้ออกมาทำการค้าที่บ้านเหมือนพี่ๆ แต่จูนยืนยันว่าขออยู่บุรีรัมย์ต่อเพื่อเรียนหนังสือ บ้านทั้งหลังต้องอยู่คนเดียว กลัวผีจะตาย ตอนนั้นอายุ 14 เอง กระทั่งเอ็นฯติดมหิดลก็มาอยู่หอกับเพื่อนๆที่ศาลายา ชอบมากที่ตัวเองโตต่างจังหวัด เจอญาติที่กรุงเทพฯ รู้สึกว่าการเล่นของพวกเขาหน่อมแน้ม คุณหนูไปหน่อย เราสะใจมากที่ได้เล่นได้ลุยเป็นหัวหน้าแก๊งของเด็กๆแถวบ้าน ทั้งซอยเป็นลูกน้องเราหมด แต่ถามว่ามันเป็นปัญหากับชีวิตไหม ไม่เป็นเลย ยอมรับว่าตอนเด็กอาจมีความรู้สึกไม่ดีกับพ่อ แต่พอแต่งงานมีครอบครัว สามีคือพี่หมอ (นพ.สมยศ อนันตประยูร) บอกตลอดว่าพ่อจูนฉลาดมาก ถ้าเขาไม่เลี้ยงเธอ ไม่อัดเธอขนาดนี้ เธอคงไม่มีวันนี้ ตอนหลังมาคุยกับพ่อ เขารู้เลยว่าอย่างจูนนี่ยิ่งอัดยิ่งโต ยิ่งโดนกดดันยิ่งโต

...

เรียกว่าดื้อยังไงให้สร้างสรรค์แบบ “จรีพร”

ก็ไม่ได้ดื้อขนาดนั้น แต่เป็นคนเชื่อมั่นในตัวเองสูงมากตั้งแต่เด็ก ถ้าให้ไปเดินตามใครเราอยู่ไม่ได้ ใครบอกให้เดินแบบนี้ จะเกิดคำถามว่าทำไมต้องไปแบบนี้ เราอาจไปถึงจุดนี้ได้แต่ไม่จำเป็นต้องเดินแบบนี้ เราจะหาทางของตัวเองให้ไปถึงจุดนั้นให้ได้ก็แล้วกัน ซึ่งเป็นทางที่สั้นกว่าเร็วกว่า โดยไม่ต้องตามใคร ครูบอกให้ทำแบบนี้ แต่เราถามทำไมต้องทำแบบนี้ เราจะหาวิธีทำในแบบของตัวเองที่มันเร็วกว่าครูเสมอ ไม่จำเป็นต้องเหมือนครูทุกอย่าง ตอนเรียน ม.ปลาย รู้สึกครูสอนช้าเกินไป เพราะเรารู้เรื่องหมดแล้ว ครูสอนไปเราก็นั่งอ่านการ์ตูนไป เราไม่ใช่เกเร แต่ครูสอนง่ายเกินไป เป็นคนถ้าชอบอะไรจะทำจนทะลุ อย่างไม่ชอบวิชาท่องจำก็จะอ่านหน้าห้องก่อนเข้าสอบ แต่ออกมาก็ได้ A นะ ตอนแต่งงานกับพี่หมอ เราก็โดนกดดันอีก ด้วยความที่เขาเป็นหมอก็อัดเราเต็มที่ จูนเคยโมโหจนวิ่งเอาหัวจะชนกำแพง แต่เขาเอามือขวางไว้ก่อน เขายั่วให้เราโกรธ เพราะอยากให้รู้ว่าเวลาโกรธที่สุดเป็นยังไง นี่คือพีกแล้วใช่ไหม เราโตมาแบบโดนอัดตลอด โชคดีที่ได้ความรักจากแม่

ไม่มีอะไรเขย่าความมุ่งมั่นให้สั่นคลอนได้เลยเหรอคะ

เวลาที่มุ่งมั่นและชัดเจนแล้ว อะไรก็เขย่าไม่ได้เลย ใจจะนิ่งมาก จุดมุ่งหมายของเราจะพุ่งไปที่การวางทาร์เก็ตอย่างเดียว เพียงแต่ระหว่างที่ไปสู่จุดหมายนั้น ต้องวางกลยุทธ์ที่จะไป บางครั้งอาจเร็วหรือช้ากว่าตั้งใจ

อะไรคือคิดใหญ่ทำใหญ่สไตล์ “จรีพร”

เวลาทำอะไรจะชอบมองภาพใหญ่ก่อนเสมอ อย่างทำธุรกิจทุกวันนี้ก็มองโกลบอลเมกะเทรนด์ก่อน แล้วค่อยมองระดับภูมิภาค ถัดมาเป็นระดับคันทรี แล้วค่อยมองเซ็กเตอร์ที่เราอยู่ การใช้ชีวิตก็เหมือนกันจะมองภาพใหญ่ก่อนเสมอ ตั้งแต่เด็กๆแล้ว จะมองว่าโตขึ้นอยากทำอะไร ภาพใหญ่คือต้องการเป็นนักธุรกิจใช่ไหม แล้วจะตอบโจทย์ยังไง ก็ต้องวางแผนการเดินทางชีวิต ตั้งแต่การเรียนหนังสือ เลือกเรียนสายวิทย์มาตลอด เพราะทำให้เราคิดเป็น และไม่เชื่ออะไรง่ายๆ ทำให้เอ๊ะตลอดเวลา

ซึ่งเป็นพื้นฐานต่อยอดได้ทุกเรื่อง พอจบปริญญาตรีด้านสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ก็มองว่าเราขาดความรู้ด้านธุรกิจ จึงไปต่อเอ็มบีเอ แล้วขาดอะไรอีก ก็คือขาดประสบการณ์ ถ้างั้นลงมือทำเลย ลุกขึ้นมาเปิดบริษัทเทรดดิ้งเครื่องมือเครื่องใช้พลาสติก ชื่อ “บริษัท เอส แอนด์ เจ โฮลดิ้ง จำกัด” ด้วยเงินเพียง 1 ล้านบาท ตอนอายุ 26 โดยไม่ขอเงินลงทุนจากครอบครัวแม้แต่บาทเดียว ทำให้เล็งเห็นลู่ทางในธุรกิจโลจิสติกส์ จึงก่อตั้ง “ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป” ในปี 2546 ยุคนั้นคนยังไม่รู้ว่าธุรกิจโลจิสติกส์คืออะไร เราอยากสร้างโลกของตัวเอง สร้างอาณาจักรตัวเองขึ้นมา บุกเบิกเรื่องการสร้างคลังสินค้าและศูนย์กระจายสินค้า ก่อนจะมาพัฒนานิคมอุตสาหกรรม

...

ทำไม “จรีพร” ถึงเป็นต้นแบบผู้นำยุคดิสรัปชัน

จูนชอบการทำงานแบบเป็นเพื่อนกันและแฟมิลี พยายามคัดคนที่มีดีเอ็นเอคล้ายกันมาทำงาน ช่วยกันสร้างสิ่งดีๆ ให้ประเทศ คนในองค์กรเราอยู่กันมานานมาก สไตล์จูนคือไม่ว่ามีอะไรเกิดขึ้นเราจะรับก่อนโพรเทกต์ลูกน้องไว้หมด จูนพูดเสมอว่าคุณเป็นหัวหน้าต้องโพรเทกต์คนของคุณให้ได้ ถ้าคุณโพรเทกต์ลูกน้องไม่ได้ แล้วใครจะอยากทำงานให้คุณ ธุรกิจต้องไปข้างหน้า ขณะเดียวกันทุกคนต้องมีเงินใช้ ไม่ใช่บริษัทเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว ถ้าเกิดความผิดพลาดเราจะจัดการลงโทษคนของเราเอง จะบอกทีมงานเสมอว่าถ้าเราทำไม่ได้ ก็ไม่มีใครทำได้ ซึ่งวิธีคิดนี้ดีมาก ถือเป็นการสร้างกำลังใจให้ตัวเอง เพื่อให้มุ่งมั่นทำให้สำเร็จตามโจทย์ตั้งไว้

อย่าไปรอกำลังใจจากใครจงสร้างมันขึ้นมาเอง เรื่องไหนที่ไม่รู้ต้องเรียนรู้ หลายๆเรื่องที่ WHA ทำ ก็เกิดจากความไม่รู้ เมื่อเกิดการเรียนรู้ตลอดเวลาจะทำให้รู้ว่าตัวเองชอบอะไร และอยากเป็นอะไร แม้วันนี้พนักงานของ WHA จะเก่งในแขนงของตัวเองแล้ว แต่บริษัทยังจัดอบรมเติมความรู้ตลอดเวลา ทีมงานของเราล้วนแต่เป็นระดับหัวกะทิ ที่สำคัญเป็นคนเก่งที่กล้าเปลี่ยนแปลง และไม่กลัวที่จะล้มเหลว หากเดินมาผิดพร้อมจะหยุด ไม่ดันทุรังทำต่อ จูนไม่เคยมองอะไรเป็นปัญหา แต่จะมองเป็นความท้าทาย ถ้าวันไหนไม่มีสิ่งท้าทายชีวิตคงไม่สนุกแน่ๆ เป็นการลับสมองตลอดเวลา ในการสร้างธุรกิจจะลงดีเทลทุกเรื่องที่ทำ จูนเหมือนคอนดักเตอร์ที่รู้ทุกเรื่อง ทำยังไงให้คนเก่งๆมารวมตัวกัน และต้องดึงความเก่งแต่ละคนออกมาเพื่อเล่นเพลงให้เพราะ พอพวกนี้เล่นเพลงเดิมๆเบื่อไหมคะ เราต้องคิดเพลงใหม่ๆให้พวกเขาเล่นตลอดเวลา โยนโจทย์ใหม่ๆให้ได้พัฒนาเสมอ คนเก่งต้องอยู่กับคนเก่งถึงจะเติบโตได้

...

วันหนึ่งทำงานกี่ชั่วโมง มีเวลาชาร์จแบตให้ตัวเองไหม

สมัยก่อนทำงานตลอดเวลา ตอนนอนก็ยังคิดเรื่องงาน ทำงาน 7 วัน 24 ชั่วโมง อยู่ออฟฟิศต้องประชุมอย่างเดียว เอกสารให้ลูกน้องเอามาเซ็นที่บ้าน เราจะดินเนอร์กับลูกค้าดึกแค่ไหน กลับบ้านต้องเซ็นเอกสาร มันก็เดือดร้อนไปทั่ว กลางวันจะไม่ตอบอีเมล แต่ตอบตอนดึกๆที่บ้านจนถึงตีสองตีสาม ไอ้คนที่เดือดร้อนกับเราคือลูกน้อง เพราะตอนเช้าเราจะถามงานแล้วไง จูนนี่เป็นคนตาหาเรื่องด้วย มองปร๊าดเดียวเจอข้อผิดพลาด แล้วเราก็โมโหลูกน้อง จนวันหนึ่งพบว่ามันไม่ใช่แล้วไง ซีอีโออะไรจะเซ็นเอกสารดึกๆทุกวัน ก็กลับมานั่งคุยกับทีมงานใหม่ จะมาเซ็นเอกสารที่ออฟฟิศ และเปลี่ยนเป็นเซ็นเอกสารอาทิตย์ละ 2 วัน เราเริ่มรู้จักพักให้เป็นแล้ว วันไหนมีบิสซิเนสดินเนอร์ก็ไป พอกลับถึงบ้านจะเข้านอนเลย พยายามจบเรื่องงานในสองทุ่ม อาบน้ำเข้านอน 3-4 ทุ่ม และตื่นมาทำงานตอน 6 โมงเช้า ไม่เอางานไปทำบนเตียงนอน กลายเป็นว่าปรับชีวิตได้ ทำให้ทำงานเร็วขึ้น

อะไรคือจุดเปลี่ยนชีวิตที่ทำให้ปฏิวัติตัวเอง

จุดเปลี่ยนเกิดจากสุขภาพแย่ตอนอายุ 46 ไปเช็กร่างกาย หมอบอกอายุร่างกายแก่กว่าอายุจริง 8 ปี ขณะที่พี่หมออ่อนกว่าอายุจริง 5 ปี เราทิ้งตัวเองและทิ้งเรื่องการออกกำลังกายเป็น 10 ปี ทุ่มเททำงานและเลี้ยงลูก กินอะไรง่ายๆที่ไม่เสียเวลาเคี้ยวไม่เสียเวลากิน ผักผลไม้ก็ไม่ค่อยกิน นอนน้อยมาก เคยพีกสุด 4 วัน นอนแค่ 10 ชั่วโมง พอแบบนี้ เลยตั้งใจกลับมาดูแลตัวเองใหม่หมดแบบ 360 องศาเทิร์นอะราวด์ ตื่นตีห้าวิ่งทุกวัน ตอนเย็นเทรนเนอร์มาที่บ้าน อาหารการกินเปลี่ยนใหม่หมด และเข้านอนเร็วขึ้น ใช้เวลา 9 เดือนทุกอย่างกลับมาปกติ โกรทฮอร์โมนเท่าอายุ 20 กว่า จนหมอชม และชีวิตเปลี่ยนอีกครั้งตอนมีวิกฤติเรื่องครอบครัวเมื่อ 8 ปีที่แล้ว เราเรียนรู้ที่จะอยู่คนเดียว ช่วงนั้นนั่งจิบไวน์ฟังเพลงที่มุมสงบริมสระน้ำทุกเย็น มีน้องหมา 4 ตัวเป็นเพื่อน ถือเป็นเวลาส่วนตัวที่ใครห้ามเข้าใกล้ เราจะนิ่งไม่คิดอะไรปล่อยวางทุกอย่าง เราสุขและสงบที่ได้อยู่กับตัวเอง

...

อะไรคือความสุขของซีอีโอแสนล้าน

การทำงานคือความสุข ลูกสาวคนเดียวก็เป็นความสุข การได้เล่นกับหลานตัวเล็กๆก็แฮปปี้ บางทีอยู่นิ่งๆกับตัวเองก็มีความสุข เดี๋ยวนี้เวลาไปบ้านที่เขาใหญ่ได้นั่งปล่อยอารมณ์ดูวิวจิบกาแฟก็มีความสุข หยิบหนังสืออ่านสบายใจจูนเชื่อว่าถ้าเราทำแต่เรื่องดี เราจะต้องเจอสิ่งดีๆเสมอ

พร้อมไหมที่จะเปิดใจสำหรับรักครั้งใหม่

ไม่ได้ปฏิเสธ แต่ไม่คิดว่าจะต้องมี ตอนที่หย่าแรกๆ ลูกสาว “น้องเกรซ” น่ารักมาก บอกมัมยังสาวเกินไปที่จะอยู่คนเดียว ถ้ามัมจะมีคนใหม่หนูโอเค เราบอกมัมไม่ได้คิดเรื่องนี้อีกเลย มัมอยู่กับแด๊ดมา 26 ปี ชีวิตคู่เกินครึ่งของชีวิตไปแล้ว และตอนนี้มีชีวิตที่มีความสุขและสงบดี ไม่คิดว่าจะทำอะไรให้ใครทั้งชีวิตได้มากเท่าที่ทำให้แด๊ดหนูอีกแล้ว เอาไว้อนาคตถ้ามีคนที่ดีกว่าแด๊ดหนู และมัมอยากทำให้ค่อยว่ากัน แต่ตอนนี้ไม่คิดและไม่พร้อมปรับตัวเอง ถามว่าถึงวันนี้เราอายุย่าง 57 จะปรับตัวเองไหม เราชอบคนเก่งต้องหาคนที่เก่งกว่าเราให้ได้ แต่ก็ต้องคุยกันเข้าใจ มันเป็นอะไรที่ยากมาก ไปไหนไปเป็นกลุ่ม ไม่เคยไปไหนกับใครสองคนนานแล้ว

อะไรคือเป้าหมายมีไว้พุ่งชนของซีอีโอแสนล้าน

คนชอบคิดว่าเราบ้าทำงาน เราสนุกที่ได้ทำงาน ได้ลับสมองตลอดเวลา ถึงตอนนี้อยากโดเนตความรู้ให้สังคม แบ่งปันประสบการณ์ชีวิตของเรา ไม่อยากให้ความรู้ที่สั่งสมมาตายไปพร้อมตัวเรา มันไม่มีประโยชน์ อยากสอนประสบการณ์ชีวิต คอนเซปต์ และความคิด เพื่อสร้างคนเก่งที่เป็นคนดีด้วย อยากมีส่วนในการสร้างคนรุ่นต่อไปที่มีคุณภาพให้สังคมไทย กว่าเราจะตายคงสร้างอะไรให้โลกนี้ได้อีกมากมาย.

ทีมข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่