ในยุคปัจจุบันการศึกษาถือเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้นๆ ที่พ่อแม่ทุกคน ให้ความสำคัญ พ่อแม่ ทุกท่านย่อม"อยากให้ลูกเรียนเก่ง" "อยากให้ลูกฉลาด" สมวัย มีพัฒนาการที่ดี ทั้งด้านสมอง ร่างกาย จิตใจ มี IQ, EQ ที่ดี ซึ่งการมีพัฒนาการ ที่ดีนั้น จะหมายถึงการดำเนินชีวิตที่ดี เก่ง ฉลาดรอบด้าน และประสบความสำเร็จในอนาคต
วันนี้เราได้พาผู้อ่านทุกท่าน มาพูดคุยกับ คุณหมอ พญ.ธวลิดา เวชชวณิชย์ (คุณหมอยูมิ) แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็ก แพทย์เจ้าของโรงเรียนเสริมสร้างพัฒนาการสมอง และอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ DoctorKidSchool หรือที่เรียกกันติดปากว่า “บ้านคุณหมอ” ซึ่งพ่อแม่ผู้ปกครองหลายท่านที่อยากให้ลูกเรียนเก่ง ฉลาด ให้ความไว้วางใจในการส่งลูกๆ ไปฝึกเรียน ฝึกเล่น ฝึกคิด ฝึกพัฒนาสมอง EF กับคุณหมอ คุณหมอเล่าว่า คุณหมอเป็นคุณหมอผิวหนัง เป็นแพทย์หัวหน้าศูนย์ความงาม รพ.เอกชนชื่อดัง มีคลินิกความงามของตัวเอง และเป็นแพทย์ที่ปรึกษาให้กับแบรนด์เครื่องสำอางชั้นนำหลายๆ แบรนด์ หลังจากเริ่มตั้งครรภ์และมีลูกฝาแฝดชาย-หญิง เนื่องจากอยากให้ลูกเรียนเก่ง อยากให้ลูกฉลาด อารมณ์ดี มีความสุข จึงหันมาสนใจด้านพัฒนาสมอง EF ของเด็ก และได้ฝึกอบรมเรียนต่อยอดด้านผิวหนังเด็ก และพัฒนาการเด็กเพิ่มเติม ทำให้ทราบถึงความต้องการและปัญหาของพ่อ แม่ ว่าต้องพบเจอกับอะไรบ้าง จะมีวิธีแก้ไขอย่างไร "ทำอย่างไรให้ลูกเก่ง ฉลาด อารมณ์ดีและมีความสุข"
คุณหมอเล่าว่า จากประสบการณ์ที่ได้คลุกคลีอยู่ในวงการเด็กและเปิดโรงเรียนเสริมสร้างพัฒนาการสมอง วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ พ่อแม่ส่วนใหญ่ ที่มาปรึกษา จะมีปัญหาคล้ายๆกัน คือ อยากให้ลูกเรียนเก่ง อยากให้ลูกฉลาด แต่ลูกติดเล่น ลูกไม่ยอมเรียนหนังสือ พอให้ไปโรงเรียน ให้ทำการบ้านลูกจะงอแง พ่อแม่ก็อยากให้ลูกเรียนเก่ง ฉลาด สอบได้คะแนนดีๆ แต่ให้ลูกเรียนเยอะๆ ก็กลัวลูกเครียด กลัวลูกเป็นเด็กเก็บกด ไม่มีความสุข ไม่รู้จะแก้ปัญหานี้อย่างไรดี จึงส่งลูกมาเรียนกับคุณหมอ ให้คุณหมอช่วยแก้ปัญหาให้ ว่าจะทำอย่างไรดีลูกถึงเรียนเก่ง ฉลาด ได้โดยไม่เครียด คุณหมอบอกว่า เด็กอนุบาล-ประถม โดยส่วนใหญ่จะยังไม่ทราบถึงเหตุผลของการเรียนเก่ง การอ่านหนังสือว่า มันดีอย่างไร ทำไมต้องทำ ทุกคนชอบเล่น ชอบสนุก เพราะการเล่นเป็นสิ่งเร้าที่กระตุ้นอารมณ์ ความรู้สึก ได้ดีและเร็วกว่า การนั่งนิ่งๆ นั่งเรียน นั่งอ่านหนังสืออยู่บนโต๊ะ การที่จะทำให้เด็กคนหนึ่ง รักในการเรียน การเขียน การอ่าน ควรทำให้เด็กรู้สึกอยากทำ อยากเรียนเก่งด้วยตัวเด็กเอง ไม่ใช่ทำเพราะถูกบังคับ เพราะเมื่อไรที่ถูกบังคับ สิ่งที่ออกมาจะไม่เป็นผลดี เด็กจะอึดอัด เครียด เพราะไม่ได้ออกมาจากนิสัยและตัวตนของเขาเอง เทคนิคที่ทางคุณหมอแนะนำให้พ่อ แม่ ผู้ปกครองที่อยากให้ลูกเรียนเก่ง อยากให้ลูกฉลาด ฝึกลูกคือ พยายามฝึกสิ่งที่ดีๆ เช่น การรักการเรียน การอ่าน การฝึกพัฒนาสมอง EF ฝึกให้ลูกเป็นคนฉลาด ช่างคิด ช่างสังเกต ฝึกความเก่งรอบด้าน โดยฝึกให้เป็นนิสัยติดตัวของเขา เพราะเมื่อไรที่มันเป็นนิสัยของเขาแล้ว เขาจะทำออกมาอย่างอิสระ ทำอย่างมีความสุขและเติบโตมาอย่างมีคุณภาพ อย่างทางโรงเรียน DoctorKidSchool บ้านคุณหมอ ที่คุณหมอดูแลอยู่ คุณหมอจะฝึกทักษะความเก่งรอบด้าน ซึ่งแนวคิดหลักของโรงเรียนคือ เรียนเก่ง ฉลาดได้ ไม่เครียด โดยแนวทางการฝึกการพัฒนาสมองใช้ระบบและหลักสูตรจากญี่ปุ่น มีการฝึกพัฒนาสมองซีกซ้าย-ขวา, EF (Executive Functions), 8Q ให้ได้น้องๆเรียนผ่านการเล่น ชุดกิจกรรม การทดลอง หนังสือ worksheet ศิลปะ ดนตรี งานประดิษฐ์ ฝึกให้น้องๆรู้จักการวางแผน ฝึกคิด ฝึกสังเกต ฝึกแปลผล สรุปงาน ด้วยตัวเองตามวัย น้องๆ จะสามารถมีอิสระในการเรียน มีความคิดสร้างสรรค์ ต่อยอดจินตนาการได้อย่างกว้างไกล ทำให้น้องๆ สนุกในการเรียนรู้ด้วยตัวเอง สร้างนิสัยช่างคิด ช่างสังเกต ช่างวางแผนตั้งแต่เด็ก และอยากเรียนเก่ง อยากฉลาด ด้วยตัวเด็กเอง
ส่วนในแง่วิชาการ เราปฏิเสธไม่ได้ว่า ในยุคไหนๆ ในสังคมไทย อย่างไรก็ต้องมีการสอบแข่งขัน เนื่องจากที่เรียนมีจำนวนจำกัด แต่นักเรียนมีจำนวนมากกว่า จึงต้องคัดเด็กที่ เก่ง ฉลาด พร้อมกว่าเข้าไป จึงเห็นได้ทั่วไปว่ามีการเปิดคอร์สติวเข้มสอบเข้า ป.1, ม.1 เช่น ติวเข้าสาธิต ติวเข้าสวนกุหลาบ และโรงเรียนชื่อดังต่างๆมากมาย ซึ่งต้องยอมรับว่าเราเปลี่ยนเงื่อนไขทางสังคมไม่ได้ แต่เราเตรียมความพร้อมให้ตัวเองได้ ซึ่งทางโรงเรียน DoctorKidSchool บ้านคุณหมอ สามารถฝึกให้น้องๆ เรียนเก่ง ฉลาด ได้ไม่เครียด โดยจะเน้นฝึกให้น้องๆ รักและเห็นความสำคัญ ในวิชาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และ ภาษาอังกฤษ โดยใช้แนวทางการพัฒนาสมอง EF เสริมในการเรียนด้วย วิชาวิทยาศาสตร์จะเรียนผ่านการทดลอง หาเหตุผล วิชาคณิตศาสตร์จะฝึกวิเคราะห์แก้ปัญหาโจทย์ ฝึกคิดเลขเร็ว วิชาภาษาอังกฤษจะให้น้องๆ ฝึกพูด ฝึกสนทนากับเจ้าครูของภาษาโดยตรง (Native Speaker) การเรียนเหล่านี้จะทำให้น้องๆ ฝึกความคิด ฝึกจินตนาการ เพิ่มความเก่ง ความฉลาด มีทักษะต่อยอดในการเรียนชั้นสูงต่อๆ ไปในอนาคต ส่วนในหลักสูตรติวเข้มน้องๆเพื่อเตรียมความพร้อมในการสอบแข่งขันเช่น ติวสอบเข้า ป1. ติวเข้าสาธิตจุฬา สาธิตประสานมิตร สาธิตเกษตร อัสสัมชัญ มาแตร์ เซนโย หรือ ติวสอบเข้า ม1. สวนกุหลาบ สาธิตปทุมวัน หรือโรงเรียนรัฐบาลชั้นนำ การเรียนในหลักสูตรติวเข้มนี้ จำเป็นต้องเน้นวิชาการเป็นหลัก แต่ก็จะมีแนวทางในการสร้างแรงบันดาลใจ คลายเครียด ลดความกดดัน เสริมสร้างพลังในทางบวกให้น้องๆ ด้วย น้องๆ จะได้ผ่านจุดนี้ได้อย่างมีความสุข เก่ง และ ฉลาดได้โดยไม่เครียด
คุณหมอกล่าวถึงการสร้างความเก่ง ความฉลาดให้กับเด็กว่า บันไดขั้นแรกในการพัฒนาทักษะทางสมองคือ การฝึกพัฒนาสมอง EF (Executive Functions) , 8Q ฝึกการใช้ประสาทสัมผัส ฝึกการเรียนรู้ การช่างสังเกต ฝึกความคิด ความจำ ความคิดสร้างสรรค์ การควบคุมตัวเอง การฝึกในส่วนนี้เป็นการฝึกสร้างความเก่ง ความฉลาด และนิสัยพื้นฐานที่ดีให้กับเด็กๆ ส่วนขั้นต่อมาคือการเตรียมความพร้อมด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ ซึ่งจากการศึกษาวิจัยในต่างประเทศ พบว่าเด็กที่ได้รับการเตรียมความพร้อมในทักษะทั้ง 2 ด้านนี้มักมีความสุขในการเรียนและประสบความสำเร็จในอนาคตได้มากกว่าเด็กทั่วไป พ่อแม่ถือเป็นบุคคลสำคัญที่จะช่วยสนับสนุน ส่งเสริม และเป็นกำลังใจให้เด็กเรียนได้เก่งเรียนได้ดีและมีพลังด้านบวกในการต่อยอดด้านการศึกษาและประสบความสำเร็จได้ต่อไปในอนาคต เพียงคุณพ่อคุณแม่ใส่ใจให้ความสำคัญ ในการฝึกพัฒนาสมอง EF และ การเรียนรู้ของลูกๆ อยู่เสมอ หมั่นพยายามสังเกต ว่าลูกของเรา ชอบอะไร ถนัดอะไร เก่งด้านไหน มีความสุขเวลาทำอะไรแล้วสนับสนุน ส่งเสริมเขาในด้านนั้นๆ ให้เต็มที่ เพียงเท่านี้ลูกของคุณพ่อ คุณแม่ก็จะเรียนเก่ง ฉลาด อารมณ์ดี และมีความสุขได้อย่างแน่นอน
ขอขอบคุณ ข้อมูลบทความโดย
โรงเรียนเสริมสร้างพัฒนาการสมอง และอัฉจริยภาพทางวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์
DoctorKidSchool (บ้านคุณหมอ)
สาทร กรุงเทพ
www.doctorkidschool.com