‘มัลดีฟส์’ เกาะสวรรค์ที่เป็นจุดหมายปลายทางในฝันของนักท่องเที่ยวทั่วโลก เพราะนอกจากน้ำทะเลจะสวยใสแล้ว ยังมีบรรยากาศที่ไม่เหมือนใคร ด้วยภูมิประเทศที่ประกอบด้วยเกาะน้อยใหญ่เกือบ 1,200 เกาะ ทำให้แต่ละเกาะนั้นสร้างความรู้สึกที่แตกต่างกัน ในขณะที่คุณเลือกมาพักผ่อนที่มัลดีฟส์ เพื่อหลบหนีความวุ่นวายในเมืองมาดื่มด่ำกับธรรมชาติและความงามของหาดทรายและท้องทะเล แต่จะดีแค่ไหนหากรีสอร์ตที่คุณเลือกพัก มีห้องอาหารที่โดดเด่นหลากหลายให้คุณเลือก บางร้านคว้ารางวัลระดับโลกมาแล้วด้วย
‘โซเนวา จานี’ รีสอร์ตหรูที่โด่งดังจากความสวยงามของวิลล่ากลางน้ำ และเพิ่งจะคว้ารางวัลโรงแรมที่ดีที่สุดในโลก ลำดับที่ 36 จากการจัดอันดับของ The World's 50 Best Hotels 2023 นอกจากความอลังการของที่พัก และงานบริการระดับยอดเยี่ยมแล้ว รีสอร์ตแห่งนี้ยังซ่อนร้านอาหารที่ดีเยี่ยมไว้อีกมาก เพื่อเติมเต็มการพักผ่อนให้สมบูรณ์แบบ จึงไม่น่าแปลกใจหากใครบางคนจะอยากมาเช็กอินที่นี่เพื่อได้ลิ้มลองอาหารแสนอร่อย พร้อมวิวหลักหลายล้านดูสักครั้งในชีวิต
The Gathering ห้องอาหารพรีเมียมวิวทะเล
หากคุณเลือกมารับประทานอาหารเช้าที่นี่ คุณอาจจะรู้สึกไม่อยากออกไปไหนอีกแล้ว เพราะ The Gathering บริการอาหารเช้าคุณภาพระดับพรีเมียม พร้อมมีวิวทะเลมัลดีฟส์ให้คุณได้มองตลอดเวลาที่กำลังรับประทานอาหารเช้าอยู่ ห้องอาหารแห่งนี้ออกแบบเป็นทรงกลม ทำให้นั่งมุมไหนก็รู้สงบเงียบและสบาย ส่วนตัวเลือกสำหรับอาหารเช้านั้นก็มีหลากหลายเชื้อชาติ พร้อมสลัดผักสดๆ ที่ปลูกเองในรีสอร์ตและผลไม้หลายชนิด ห้องอาหารแห่งนี้ยังมีมุมที่เป็นบาร์ ให้คุณได้จิบเครื่องดื่มยามเย็นเพื่อชมพระอาทิตย์ตกอีกด้วย ให้คะแนนเต็ม 10 ได้ตั้งแต่เริ่มวันเลยเชียว
Crab Shack เมนูปูโคลน จากห้องอาหารสุดโรแมนติก
ห้องอาหารบนหาดทรายที่พวกเขาจะเสิร์ฟเมนู ‘ปูโคลน’ นำเข้าจากประเทศศรีลังกาโดยเฉพาะ ปูโคลนเป็นปูในธรรมชาติ มีขนาดตัวใหญ่ เนื้อแน่น สามารถนำมาทำได้หลายเมนู เช่น ผัดซอสกระเทียม ซอสพริกไทยดำ และซอสผงกะหรี่ ฯลฯ เชฟประจำห้องอาหารนี้ก็บินตรงมาจากประเทศศรีลังกา รับประกันเลยว่าคุณจะได้ลิ้มลองรสชาติแบบศรีลังกาที่แท้จริง ชั้น 2 ของห้องอาหารยังมีที่นั่งแบบโอเพ่นแอร์เพียง 3 โต๊ะเท่านั้น สามารถมองเห็นพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าตลอดเวลาที่กำลังแกะปู ห้องอาหาร Crab Shack ยังเคยได้รับการโหวตใน cnn.com ให้เป็นห้องอาหารที่โรแมนติกที่สุดในโลก (World’s Most Romantic Restaurants) อีกด้วย
Overseas by Mathias Dahlgren กับอาหารสไตล์ Pescatarian
ห้องอาหารเล็กๆ ที่ตั้งถัดออกไปจาก The Gathering เพียงนิดเดียว ที่นี่เปิดให้บริการเฉพาะมื้อเย็นเท่านั้น เป็นร้านอาหารที่คั่นกลางระหว่างท้องฟ้าและผืนน้ำแบบไม่มีอะไรกั้น เสิร์ฟอาหารสไตล์ Pescatarian หรือมังสวิรัติที่มีเนื้อปลาและอาหารทะเลบางชนิดเป็นส่วนผสม โดยเชฟ Mathias Dahlgren จากประเทศสวีเดน เมนูของที่นี่จึงให้ความรู้สึกเบาสบายแต่อยู่ท้อง และคุณจะได้ลิ้มรสวัตถุดิบสดใหม่ซึ่งหาได้จากมหาสมุทรอินเดีย ลองนึกถึงช่วงวันที่ท้องฟ้ายามเย็นเป็นสีส้มอมชมพูดูสิ โรแมนติกสุดๆ ไปเลย
Director’s Cut ชมหนังเงียบพร้อมเมนูอาหารญี่ปุ่นเลิศล้ำ
แฟนคลับของ ‘โซเนวา’ คงรู้ว่าทุกรีสอร์ตในเครือนี้ จะมีโรงหนังกลางแจ้งใต้แสงดาว หรือ Cinema Paradiso ไว้สำหรับสร้างความบันเทิงสุดอลังการให้กับผู้เข้าพักทุกคน แต่ที่ ‘โซเนวา จานี’ จะพิเศษกว่าใคร เพราะเขามีห้องอาหาร Director’s Cut ที่เสิร์ฟอาหารญี่ปุ่น ตลอดการชมภาพยนตร์เงียบอีกด้วย แน่นอนว่าเมนูไฮไลต์ต้องเป็นวัตถุดิบจากท้องทะเล อาทิ ซูชิ ซาชิมิ และยังมีปลาค็อดเนื้อแน่น ที่เชฟจะปรุงแบบสุกกำลังดี เสิร์ฟพร้อมกับเมนูร่วมสมัยอื่นๆ และเครื่องดื่มดับกระหายในยามเย็น
So Primitive
ห้องอาหารที่จะพาทุกคนย้อนอดีตไปในยุคหิน เพราะที่นี่เขาเน้นเป็นเมนูย่างจากเตาถ่านซึ่งตั้งอยู่บนชายหาด คลุมด้วยหลังคาคล้ายหมวกใบโต นี่เป็นอีกหนึ่งห้องอาหารที่ถ่ายรูปสวยมาก เพราะตั้งอยู่บนชายหาด ได้วิวทะเล และได้ยินเสียงคลื่นตลอดเวลา วัตถุดิบที่ใช้ไม่ได้ผ่านการปรุงอะไรมากมาย เพราะอยากให้ทุกคนได้ลิ้มลองรสธรรมชาติ หรือสามารถตักเติมซอสที่ต้องการได้ตามชอบ แต่ถึงจะเน้นไปที่อาหารปิ้งย่าง เขาก็มีเมนูอื่นให้สั่งได้เพิ่มเติม ครบเครื่องและครบครันสุดๆ
ฉะนั้นไม่น่าแปลกใจเลยที่ ‘โซเนวา จานี’ จะกลายเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญของคนที่รักการกิน เพราะนอกจากประสบการณ์การพักผ่อนอย่างเต็มที่แล้ว รีสอร์ตแห่งนี้ยังให้ความสำคัญกับเรื่องอาหารการกินอย่างเต็มที่ เพื่อเอาใจผู้เข้าพักที่เดินทางมาจากทั่วโลก สำหรับใครที่สนใจแพ็กเกจพร้อมอาหาร 2 มื้อต่อวัน สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://soneva.com/resorts/soneva-jani/offers/