(ภาพ:การใช้ทางลาดเพื่อขนย้ายวัสดุขึ้นด้านบน)
“มาเถอะ ให้เราทำอิฐเผาขึ้น ให้เรามาสร้างเมืองขึ้น ให้มีหอสูงเทียมฟ้า เราจะได้มีชื่อเสียง และไม่ต้องกระจัดกระจายกันอยู่ทั่วโลก”
ว่ากันว่าอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ของมนุษยชาตินั้น ได้เริ่มขึ้นเมื่อประมาณ 5,000 ปีมาแล้ว ณ บริเวณดินแดนเมโสโปเตเมีย หรือระหว่างลุ่มแม่น้ำไทกริส และยูเฟรติส (ปัจจุบันเป็นพรมแดนระหว่างประเทศอิรักและอิหร่าน)
ดินแดนแห่งนี้ถือได้ว่าเป็นอู่อารยธรรมของโลกเลยทีเดียว เพราะจากผลงานหลายชิ้นหลายอันที่มนุษย์หลายเผ่าพันธุ์ได้ทิ้งไว้ให้ชนรุ่นหลังเรียนรู้กันนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นผลงานที่ยิ่งใหญ่แสดงถึงความรุ่งเรืองทางอารยธรรมของพวกเขาทั้งนั้น
หนึ่งในความยิ่งใหญ่ที่ยังหลงเหลือและมีเล่าขานสืบต่อมาไม่มีวันหมดสิ้นคือ “หอบาเบล (The Tower of Babel)” ที่คอลัมน์ไทยรัฐซันเดย์สเปเชียล โดยทีมงานนิตยสารต่วย’ตูนจะนำมาเสนอแฟนานุแฟนในวันนี้นั่นเองครับ
...
ในคัมภีร์ไบเบิลของชาวคริสต์ มีการพูดถึงหอบาเบลไว้ในบทปฐมกาลที่ 11 ว่า แต่ก่อนนั้นคนในโลกนี้พูดภาษาเดียวกันหมด ใช้คำพูดอย่างเดียวกัน แต่แล้วอยู่มาวันหนึ่ง พวกเขาก็เกิดความคิดแปลกๆอยากจะสร้างหอคอยให้สูงเทียมฟ้า เพื่อจะได้ใช้เป็นบันไดไปสู่สวรรค์ของพระเจ้า จึงชวนกันว่า “มาเถอะ ให้เราทำอิฐเผาขึ้น ให้เรามาสร้างเมืองขึ้น ให้มีหอสูงเทียมฟ้า เราจะได้มีชื่อเสียง และไม่ต้องกระจัดกระจายกันอยู่ทั่วโลก”
ว่าแล้วพวกเขาก็เริ่มลงมือเผาอิฐและใช้อิฐนั้นก่อสร้างหอสูง โดยมียางมะตอยยึดอิฐเข้าด้วยกัน
หอที่พวกเขาสร้างขึ้นนี้ ไม่มีใครรู้ว่าสูงแค่ไหน แต่ในคัมภีร์ไบเบิลบอกว่าต่อมาพระเจ้าได้ลงโทษให้พวกเขาพูดกันคนละภาษา สื่อสารกันไม่รู้เรื่อง และทรงทำให้มนุษย์กระจัดกระจายกันไปทั่วโลก จะได้รวมตัวคบคิดกันทำเรื่องอะไรที่มันใหญ่กว่านี้ไม่ได้อีกต่อไป
ในอดีตที่ผ่านมาได้มีการค้นพบสิ่งก่อสร้างลักษณะคล้ายหอคอยมากมาย บางแห่งก็ตระหง่านใหญ่โตคล้ายพีระมิดในอียิปต์ แต่บางแห่งก็หลงเหลือแค่กองหินที่ซ้อนกันธรรมดา และบางแห่งก็เหลือ แต่ร่องรอยว่าเคยมีสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ในบริเวณนั้น
สิ่งก่อสร้างหรือกองหินเหล่านี้เรียกตามภาษาพื้นเมืองแถบนั้นว่า “ซิกกูรัท (Ziggurat)” มีลักษณะคล้ายพีระมิดและหอคอยสูงผสมผสานกัน พบมากในดินแดนเมโสโปเตเมีย ประมาณกันว่ามีสิ่งก่อสร้างหรือกองหินมหึมานี้ถึง 30 แห่ง มีอายุตั้งแต่ 3,000-5,000 ปีก่อนคริสตกาล
เอาแล้วซิ...ในเมื่อมีกองหินมหึมาอยู่มากมายหลายแห่ง แล้วกองหินตรงไหนล่ะที่คิดว่าจะเป็นหอบาเบลอันแท้จริง...
อย่างไรก็ตาม เมื่อมนุษย์สามารถสร้างหอคอยสูงเทียมฟ้าได้ ทำไมมนุษย์จะสืบเสาะค้นหาหอสูงนั้นไม่ได้ ที่สุดนักโบราณคดีและผู้เชี่ยวชาญก็ได้สันนิษฐานว่า หอบาเบลที่แท้จริงน่าจะอยู่ที่เอเตเม-นานกิ (Etemenanki) ใกล้กับกรุงบาบิโลน
เหตุผลก็คือ กรุงบาบิโลนเป็นเมืองหลวงที่ยิ่งใหญ่และมีอารยธรรมรุ่งเรืองมาโดยตลอด อีกทั้งที่นี่ยังมีกษัตริย์ที่ทำการบูรณะกองหินมหึมานี้อย่างจริงจัง นั่นคือกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ที่ 2 (ปี 605- 562 ก่อนคริสตกาล)
สันนิษฐานว่ากษัตริย์องค์นี้คงจะต้องทำการบูรณะหอคอยหรือกองหินที่เชื่อว่าเป็นหอบาเบลอันแท้จริงเป็นพิเศษกว่ากองหินอื่นๆ มีบันทึกไว้ว่าพระองค์ได้เกณฑ์คนงานจำนวนมากมายจากทิศตะวันตกจดทิศตะวันออก จากทิศเหนือจดทิศใต้ เพื่อทำการบูรณะกองหินมหึมาเหล่านั้น
แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า หลังจาก ที่กษัตริย์องค์นี้สิ้นพระชนม์ไปแล้ว กรุงบาบิโลนก็ถูกชาวอัสซีเรียรุกราน โบสถ์วิหาร และสิ่งก่อสร้าง ต่างๆรวมทั้งกองหินมหึมาเหล่านี้ก็ถูกทำลายไปด้วย และในที่สุดกรุงบาบิโลนก็ตกเป็นของชนชาติอื่นต่อไป
ส่วนกองหิน มหึมานั้น ไม่มีใครสนใจที่จะบูรณะปรับปรุงแต่ประการใด คงปล่อยให้มันถูกกัดเซาะจากสายฝน พายุ ลม และแสงแดด หรือแม้แต่ถูกชาวบ้านบริเวณใกล้เคียงนำอิฐหรือหินมาก่อสร้างบ้านเรือนของตนเอง
แหม...แบบนี้จะให้เหลือซากได้ยังไงครับ
...
อย่างไรก็ตาม นักโบราณคดีชาวอังกฤษคนหนึ่ง ชื่อ เซอร์ เลโอนาด วูลลี ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องการขุดค้นกองหินมหึมา (ระหว่างปี ค.ศ.1922-1934) ได้ให้ข้อสังเกตว่า กองหินมหึมาเหล่านี้ถือได้ว่าเป็นสถาปัตยกรรมชั้นเยี่ยม ถูกสร้างขึ้นมาอย่างเฉลียวฉลาด ไม่ว่าจะเป็นด้านกว้าง ยาว หรือความสูง ทุกมิติล้วนแต่มีความสมดุลกัน
ถ้าเป็นสมัยก่อนคงจะสวยงามตระการตามาก สามารถเทียบได้กับศิลปะยุคกรีกและโรมันที่กำลังรุ่งเรืองเลยทีเดียว
ผู้เชี่ยวชาญคนดังกล่าวบอกอีกว่าก้อนหินแต่ละก้อนที่วางซ้อนกันนั้น ถูกทำขึ้นมาจากดินเหนียวผสมฟางข้าวและนำไปอบให้แห้งด้วยแสงแดด หินแต่ละก้อนจะถูกวางซ้อนกันและเชื่อมเข้าด้วยกันด้วยยางมะตอย หรือน้ำมันดินและปูนสอ ซึ่งเป็นวัสดุที่หาได้จากที่ราบสูงของอิหร่าน และนิยมใช้กันแพร่หลายในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน นอกจากนั้นยังสามารถใช้สำหรับงานฉาบผิวหนังได้ดีอีกด้วย เช่น การฉาบเรือ เพื่อป้องกันน้ำรั่ว เป็นต้น
ส่วนการสร้างนั้น พวกเขาจะทำเป็นทางลาด ขึ้นไป เพื่อที่จะก่อเป็นชั้นๆได้ง่ายขึ้นภายในกองหินนั้นก็มีการทำระบบการระบายน้ำได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
เล่ากันว่าอเล็กซานเดอร์มหาราชเองก็เคยได้ไปเยี่ยมเยือนกองหินมหึมาเหล่านี้มาแล้ว และว่ากันว่าพระองค์ได้ทรงรับที่จะเป็นผู้บูรณะวัตถุโบราณเหล่านี้ด้วย แต่โชคร้ายที่แผนงานบูรณะครั้งนั้นเป็นอันต้องเลิกล้มไป
นักประวัติศาสตร์ชาวกรีกคนหนึ่งชื่อ สตราโบ (Strabo) กล่าวว่า การที่จะบูรณะ ปรับปรุง และทำความสะอาดกองหินมหึมาแต่ละแห่ง จำเป็นต้องใช้แรงงานคนถึงจำนวน 20,000 คนจึงจะสำเร็จ
สำหรับวัตถุประสงค์ในการสร้างนั้น นักประวัติศาสตร์ชาวกรีกคนหนึ่งชื่อ ไดโอโดรุส ซิคูลุส (Diodorus Siculus) ซึ่งมีชีวิตในปีที่ 1 ก่อนคริสตกาลได้สันนิษฐานว่า สิ่งก่อสร้างเหล่านี้อาจจะถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้เป็นหอดูดาวสำหรับพระสงฆ์ เพราะสังเกตว่า คนในสมัยนั้นโดยเฉพาะชาวเมโสโปเตเมียนั้น มีความรู้เรื่องดาราศาสตร์และเรื่องการคำนวณที่ซับซ้อนเป็นอย่างดี
...
แต่นักประวัติศาสตร์บางคนกลับบอกว่า กองหินมหึมานี้อาจจะเป็นแค่สุสาน หรืออนุสาวรีย์ของผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว เหมือนพีระมิดในดินแดนอียิปต์นั่นเอง และข้างในนั้นมันอาจจะมีห้องลับอีกมากมาย เพื่อใช้เก็บพระศพของกษัตริย์ หรือเก็บทรัพย์สมบัติ หรืออาจเป็นแหล่งความรู้ของมนุษยชาติก็เป็นได้
ในสมัยหนึ่งรัฐบาลฝรั่งเศสเคยส่งนายเฟรส-เนล (Fulgence Fresnel) หัวหน้านักเดินทางและนักสำรวจไปยังบาบิโลนเพื่อทำการค้นคว้าและสำรวจเกี่ยวกับกองหินมหึมาเหล่านี้ โดยเฉพาะเรื่องของหอบาเบล แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าเขาได้เสียชีวิตก่อนที่งานจะสำเร็จตามแผน
ทุกวันนี้ต่างมีความเชื่อกันว่ากองหินมหึมาเหล่านี้ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อถวายแด่เทพต่างๆ มันเป็นวิธีการที่พวกเขาคิดว่าจะสามารถทำให้เทพหรือพระเจ้าผู้อยู่บนสวรรค์ได้เสด็จลงมาสู่โลกมนุษย์ได้
...
เพราะสำหรับมนุษย์แล้วธรรมชาติรอบๆตัวเขานั้นทำให้พวกเขาไม่แน่ใจและหวาดกลัว ไม่ว่าจะเป็นภัยธรรมชาติ น้ำท่วม แผ่นดินไหว โรคร้าย และตลอดจนสงคราม เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงต้องหาที่ยึดเหนี่ยวและที่ปลอบประโลมใจ และผู้ที่จะช่วยพวกเขาได้ก็คือเทพหรือพระเจ้าที่พวกเขาเชื่อนั่นเอง
ฉะนั้นเพื่อทำให้เทพหรือพระเจ้าพอพระทัย จึงต้องกราบไหว้บูชา หรือสร้างอนุสาวรีย์เพื่อเป็นที่ประทับของเทพเจ้าเหล่านั้น
อย่างไรก็ตาม สำหรับหอบาบิโลนนั้น เราก็ไม่อาจจะยืนยันได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่ามันจะถูกสร้างจริงหรือไม่และถูกสร้างขึ้น ณ ตำแหน่งใด แต่ถ้าหากมันจะถูกสร้างขึ้นจริงก็คงจะมีลักษณะคล้ายคลึงกับกองหินมหึมาที่นำมาเล่าขานให้ท่านผู้อ่านฟังนี้แหละ
แต่สิ่งที่เราได้จากเรื่องราวของหอบาเบลก็คือ เมื่อใดก็ตามที่มนุษย์เราต้องการอำนาจ ต้องการความเป็นใหญ่ ต้องการเอาชนะพระเจ้าหรือธรรมชาติ เมื่อนั้นแหละความต้องการเหล่านี้จะกลายเป็นการทำลายมนุษย์ด้วยกันเอง เหมือนกับหอบาเบลที่ไม่อาจสร้างสำเร็จและกลายเป็นปริศนาตลอดกาลนั่นเอง.
ทีมงานนิตยสารต่วย'ตูน
โดย : ขันติ