ผู้ช่วย (คนขวา) ผูกเชือกเข้ากับรังผึ้งและยึดให้มั่น หลังจากเมาลิแซะมันออกจากหน้าผา กระบวนการทั้งหมดอาจใช้เวลาหลายชั่วโมง
เมาลิ ธัน ห้อยต่องแต่งอยู่กลางเวหาสูง 90 เมตร บนบันไดเชือกไม้ไผ่ พลางสำรวจผาหินแกรนิตช่วงที่เขาต้องปีนเพื่อไปยังจุดหมาย นั่นคือรังผึ้งหลวงหิมาลัยใต้หินแกรนิตที่ยื่นออกมา ผึ้งเหล่านี้คอยเฝ้ารักษาน้ำผึ้งเมา (mad honey) ซึ่งมีคุณสมบัติเหมือนสารก่อประสาทหลอน และขายในตลาดมืดเอเชียได้ราคากิโลกรัมละ 30 ถึง 40 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราวหกเท่าของราคาน้ำผึ้งทั่วไปที่ขายในท้องตลาดเนปาล
สำหรับเมาลิแล้ว การเก็บน้ำผึ้งเป็นเพียงวิธีเดียวในการหาเงิน ซึ่งเขาจำเป็นต้องใช้ซื้อหาอาหารและสิ่งของจำเป็นบางอย่างที่ทำเองไม่ได้ ซึ่งรวมถึงเกลือและน้ำมันประกอบอาหาร แต่ไม่ว่าเงินจะสำคัญสำหรับเขาและคนอื่นๆ ในหมู่บ้านของเขาที่อยู่ไกลออกไปเบื้องล่างมากเพียงใดก็ตาม เมาลิคิดว่าถึงเวลาที่จะเลิกทำงานนี้แล้ว ด้วยวัย 57 ปี เขาแก่เกินกว่าจะเสี่ยงกับการเก็บน้ำผึ้งตามฤดูกาลที่อันตรายนี้
...
หลายศตวรรษมาแล้วที่ชาวกูลุงอยู่อย่างโดดเดี่ยวจากโลกภายนอก เพราะบ้านของพวกเขาอยู่ท่ามกลางป่าทึบภายในโกรกธารลึก ซึ่งเกิดจากฝีมือสลักเสลาของแม่น้ำหองคู แม้เมานต์เอเวอเรสต์จะอยู่ห่างออกไปทางเหนือเพียงหุบเขาเดียวจากบริเวณเชิงเทือกเขาหิมาลัยแห่งนี้ ทว่าที่นี่ก็ยังคงโดดเดี่ยวและห่างไกล
ทว่าในแต่ละปี โลกภายนอกคืบคลานเข้ามาใกล้ทุกที มีถนนดินสายหนึ่งที่ย่นเวลาเดินเท้ามาสู่หมู่บ้านสัททีของเมาลิ ได้ภายในสองวัน และกำลังเริ่มทำเส้นทางเดินป่าของนักท่องเที่ยวซึ่งจะเข้าไปลึกถึงตอนบนของหุบเขา เส้นทางนี้จะเชื่อมหมู่บ้านสัททีและหมู่บ้านข้างเคียงอื่นๆ กับเส้นทางเดินป่ายอดนิยม
สี่สิบสองปีมาแล้วนับตั้งแต่เมาลิฝันเห็นสิ่งที่นำเขามาสู่เส้นทางสายนี้ ตอนนั้นเขาอายุ 15 ปี เป็นคืนหลังจากที่เขาช่วยพ่อเก็บรวงผึ้งครั้งแรก
“ผมเห็นผู้หญิงสวยสองคนครับ” เขาเล่า “ทันใดนั้นผมรู้สึกว่าตัวเองติดอยู่ในใยแมงมุมข้างหน้าผาแห่งหนึ่ง ผมพยายามดิ้นให้หลุด ตอนที่เห็นลิงสีขาวตัวใหญ่ตัวหนึ่งอยู่ข้างบน มันหย่อนหางลงมา หญิงสองคนนั้นช่วยผมคว้าหางไว้ได้ ลิงดึงผมขึ้นไป แล้วผมก็หลุดออกมาครับ”
เหล่าผู้อาวุโสซึ่งหนึ่งในนั้นคือพ่อของเขาเองบอกเขาว่า ลิงนั้นคือรังเกมิ วิญญาณที่คอยเฝ้าปกปักษ์ฝูงผึ้งและลิง บางครั้งก็เป็นพลังงานอันกราดเกรี้ยวที่สิงสถิตอยู่ตามสถานที่อันตรายต่างๆ ซึ่งน้อยคนจะกล้าย่างกรายเข้าไป พวกผู้อาวุโสพูดให้เขาเชื่อมั่นว่าเขาได้รับการรับรองแล้วว่าจะปีนป่ายหน้าผาไปได้อย่างปลอดภัย และว่าวิญญาณจะไม่ถือโทษเขาและครอบครัว เมื่อเขาไปเก็บน้ำผึ้งล้ำค่า วันนั้นเองที่เมาลิต้องแบกภาระหนักของการเป็นพรานล่าน้ำผึ้ง ซึ่งยากเย็นและน้อยคนจะได้เป็น ตั้งแต่นั้นมาหลายสิบปีแล้วที่เขาเสี่ยงชีวิตทุกฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงออกไปเก็บสารรสหวานและมีฤทธิ์ต่อจิตประสาท จากหน้าผาเดียวกับที่พ่อของเขาเคยเก็บเมื่อหนึ่งชั่วอายุคนมาแล้ว
...
ด้วยพลังอะไรก็ตาม จะเป็นเพราะทักษะของเขาหรือพรจากรังเกมิ ขณะนี้เมาลิที่มองเห็นเลือนรางอยู่บนหน้าผาท่ามกลางฝูงผึ้งกลุ่มหนา สามารถไปถึงรวงผึ้งได้แล้ว เขาวางมัดหญ้าควันคลุ้งลงบนชะง่อนหินเล็กๆ อย่างระมัดระวัง ใช้มือเปล่ากวาดผึ้งออกจากรวงรัง ฝูงผึ้งตกลงมาราวกับเป็นสิ่งมีชีวิตตัวเดียว แล้วกลับกลายเป็นกลุ่มหมอกที่บิดเบี้ยวและรุมต่อย
เมาลิใช้หมุดไม้สองตัวทิ่มเข้าไปในรวงผึ้ง ผูกหมุดเข้ากับเชือกไม้ไผ่เส้นบางที่ผู้ช่วยของเขาหย่อนลงมาให้จากข้างบน เขาปลดไม้ไผ่ลำยาวออกจากบ่า ทิ่มด้านที่เสี้ยมปลายแหลมเข้าไปในรวงผึ้ง และเริ่มแซะรวงผึ้งออกจากหิน
ไม่กี่นาทีต่อมา รวงผึ้งก็หลุดออกมาแกว่งอยู่บนเชือก เกือบจะโดนร่างเมาลิ
ลูกชายของเมาลินั่งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำสายเล็กๆ ตรงเชิงผา คอยช่วยหาบน้ำผึ้ง ขี้ผึ้ง และเครื่องมือต่างๆ กลับหมู่บ้าน เหล่าพรานล่าน้ำผึ้งโผล่ออกมาท่ามกลางสายหมอก ทั้งเปียกแฉะ เหนื่อยล้า และหน้าตาบวมปูด ลูกชายของเขาควักโทรศัพท์ออกมาถ่ายภาพ ภาพแล้วภาพเล่า เขามีหน้าเฟซบุ๊ก เขาอาจโพสต์รูปเหล่านี้ในภายหลัง
...
“เด็กสมัยนี้ไม่เห็นคุณค่าของวัฒนธรรมแล้วครับ” เมาลิบอก “ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป วัฒนธรรมของเราจะต้องสูญหายไป” พวกผู้อาวุโสรู้ว่านี่คือเหตุผลที่ไม่มีใครมีความฝันนั้น หรือถึงจะมี พวกเขาก็คงไม่ยอมรับ
ขณะแบ่งน้ำผึ้งและขี้ผึ้งกัน เหยือกเหล้าพื้นเมืองถูกส่งต่อเวียนกัน ไม่มีใครปริปากถึงสิ่งที่ทุกคนกำลังคิด นั่นคือ เราน่าจะได้เห็นการล่าน้ำผึ้งของเมาลิครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย นี่คือจุดจบแห่งยุคสมัย
เมาลิจรดเหยือกเข้ากับริมฝีปากและดื่มอยู่เนิ่นนาน เขาหันไปมองหน้าผาเป็นครั้งสุดท้าย แล้วยกลำไม้ไผ่ขึ้นพาดบ่า ออกเดินไปตามทางกลับบ้านอย่างเงียบๆ พรานล่าน้ำผึ้งคนอื่นๆ เดินเรียงเดี่ยวตามหลังราวกับผึ้งงานเดินตามผึ้งนางพญา
เรื่อง มาร์ก ซินนอตต์
ภาพถ่าย เรนัน ออซเติร์ก