สารคดีไทยรัฐออนไลน์สัปดาห์นี้ เป็นเรื่องราวของพิษของอสรพิษที่ช่วยชีวิตคนได้...!
พิษหรือสารที่หลั่งออกมาจากเขี้ยวและเหล็กในของสิ่งมีชีวิตบางชนิด เปรียบได้กับนักฆ่ามือหนึ่งของธรรมชาติ พิษ (venom) ถูกสร้างขึ้นมาอย่างพิถีพิถันให้สามารถหยุดการทำงานของร่างกายได้อย่างสมบูรณ์แบบ สารคัดหลั่งอันซับซ้อนนี้อุดมไปด้วยโปรตีนพิษและเปปไทด์ซึ่งเป็นกรดอะมิโนสายสั้นๆ เหมือนโปรตีน โมเลกุลเหล่านี้ทำงานเสริมฤทธิ์ซึ่งกันและกันจนกลายเป็นหมัดเด็ด บางตัวเล่นงานระบบประสาท บางตัวทำให้เซลล์และเนื้อเยื่อตาย พิษยังสามารถสังหารเหยื่อได้ด้วยการทำให้เลือดแข็งตัวจนหัวใจหยุดเต้น หรือต้านการแข็งตัวของเลือด และทำให้เกิดการเสียเลือดจนตายได้
พิษทุกชนิดมีคุณสมบัติและหน้าที่หลากหลาย [ความแตกต่างระหว่างพิษ และยาพิษ (poison) คือ พิษจะเข้าสู่ร่างกายเหยื่อโดยการฉีดหรือเจาะเข้าไปด้วยอวัยวะเฉพาะ เช่น เขี้ยว และเหล็กใน ส่วนยาพิษต้องกินเข้าไป] ชีวพิษ (toxin) หลายสิบหรือหลายร้อยชนิดอาจเข้าสู่ร่างกายโดยการกัดเพียงครั้งเดียว บ้างมีฤทธิ์เหมือนๆกัน บ้างมีพิษสงเฉพาะตัว ในสังเวียนการแข่งขันทางวิวัฒนาการระหว่างนักล่าและเหยื่อ อาวุธและกลไกป้องกันตนเองได้รับการปรับปรุงและพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง
...
เรื่องตลกร้ายก็คือคุณสมบัติที่ทำให้พิษเป็นอันตรายถึงชีวิต กลับเป็นสิ่งที่มีคุณค่าทางการแพทย์ ชีวพิษหลายชนิดออกฤทธิ์กับโมเลกุลเดียวกันกับที่ทางการแพทย์ต้องควบคุมเพื่อบำบัดรักษาโรค พิษทำงานรวดเร็วและเฉพาะเจาะจงมาก องค์ประกอบที่ออกฤทธิ์ซึ่งได้แก่เปปไทด์และโปรตีนต่างๆ ทำงานทั้งในรูปของชีวพิษและเอนไซม์ โดยพุ่งเป้าเล่นงานเฉพาะบางโมเลกุล ราวกับไขแม่กุญแจด้วยลูกกุญแจถูกดอก ซึ่งยารักษาโรคส่วนใหญ่ทำงานในลักษณะเดียวกันนี้ โดยตัวยาจะจับกับโมเลกุลที่เข้ากันพอเหมาะเพื่อให้เกิดผลทางการรักษา การหาชีวพิษที่ออกฤทธิ์ต่อเป้าหมายใดเป้าหมายหนึ่งเป็นเรื่องท้าทาย ถึงกระนั้นตอนนี้ยารักษาโรคหัวใจและเบาหวานชั้นยอดหลายขนานพัฒนาขึ้นจากพิษ ส่วนการรักษาโรคแพ้ภูมิตนเอง โรคมะเร็ง และอาการปวดด้วย วิธีใหม่ๆ อาจนำมาใช้ได้ภายในสิบปี
“เราไม่ได้พูดถึงยาตัวใหม่แค่สองสามตัว แต่เป็นยากลุ่มใหม่อีกหลายกลุ่มครับ” เป็นคำยืนยันจากปากของ โซลตาน ตากัช นักสำรวจหน้าใหม่ของสมาคมเนชั่นแนล จีโอกราฟิก ผู้เป็นทั้งนักชีวพิษวิทยาและนักวิทยาสัตว์เลื้อยคลานและสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก จนถึงปัจจุบันมีชีวพิษไม่ถึงหนึ่งพันชนิดที่ผ่านการวิเคราะห์ว่ามีคุณประโยชน์ทางการแพทย์ และตัวยาหลักเพียงสิบกว่าขนานได้รับการอนุมัติให้วางจำหน่ายได้ ตากัชเสริมว่า “อาจมีชีวพิษจากพิษอีกกว่า 20 ล้านชนิดที่รอคอยการตรวจสอบ มีสัตว์กว่า 100,000 ชนิดพันธุ์ที่วิวัฒน์ขึ้นให้สามารถสังเคราะห์พิษได้ อาทิ งู แมงป่อง แมงมุม กิ้งก่าบางชนิด ผึ้ง และสัตว์ทะเล เช่น หมึกยักษ์ ปลาหลายชนิด และหอยเต้าปูน ตุ่นปากเป็ดเพศผู้เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหนึ่งในไม่กี่ชนิด ที่มีพิษ โดยพิษของมันจะอยู่ตรงเดือยบริเวณข้อเท้า
แต่ใช่ว่าพิษทุกชนิดจะเข่นฆ่าให้อาสัญ เช่น ผึ้งใช้พิษที่ไม่ถึงตายเป็นเกราะป้องกันตัว ส่วนตุ่นปากเป็ดเพศผู้ใช้ในการข่มตัวผู้ตัวอื่นในฤดูผสมพันธุ์ กระนั้น พิษส่วนใหญ่ก็ใช้ในการสังหาร หรืออย่างน้อยก็หยุดการเคลื่อนไหวของเหยื่อก่อนจะกินเป็นอาหาร มนุษย์มักตกเป็นเหยื่อโดยบังเอิญ องค์การอนามัยโลกประมาณการว่า แต่ละปีมีคนถูกสัตว์มีพิษกัดราวห้าล้านราย ในจำนวนนี้เสียชีวิตประมาณ 100,000 คน แม้ว่าตัวเลขจริงน่าจะสูงกว่านี้มาก
โซลตาน ตากัช วัย 44 ปี เป็นชาวฮังการีโดยกำเนิด เขาเพิ่งลาออกจากมหาวิทยาลัยแห่งชิคาโกเมื่อไม่นานมานี้ และเปิดธนาคารชีวพิษโลก (World Toxic Bank) ซึ่งเป็นบริษัทเอกชนที่เชี่ยวชาญด้านการวิจัยและพัฒนายาจากชีวพิษ หากไม่อยู่ในห้องทดลอง เราอาจพบเห็นเขากอดรัดฟัดเหวี่ยงกับงูพัฟแอดเดอร์ในซูดานใต้ เก็บตัวอย่างงูสามเหลี่ยมในเวียดนาม หรือรีดพิษงูกะปะกาบองในคองโก เป้าหมายของเขาคือการทำพิมพ์เขียวสำหรับ “ห้องสมุดชีวพิษ” ซึ่งในท้ายที่สุดอาจรวบรวมพิษจากสัตว์ทุกชนิดบนโลกเอาไว้โซลตาน ตากัช คุยได้ไม่รู้เบื่อว่า ศักยภาพทางการแพทย์ของพิษ “เป็นเรื่องยากหยั่งถึง” พิษนานาชนิดที่ได้จากสัตว์มีพิษสามารถนำมาผลิตเป็นตัวยาหลายขนาน ตั้งแต่พิษงูแมมบาดำที่นำมาผลิตเป็นยาแก้ปวด พิษของกิลามอนสเตอร์ (กิ้งก่าชนิดหนึ่ง) ที่นำมาผลิตยารักษาระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งช่วยให้ผู้ป่วยเบาหวานสร้างอินซูลินเองได้และทำให้น้ำหนักตัวลดลง ไปจนถึงพิษแมงป่องสามชนิดที่ให้สารยับยั้งเซลล์ที (T-cell) ของระบบภูมิคุ้มกันซึ่งเป็นสาเหตุของโรคภูมิแพ้ตนเองหลายชนิด
แต่ปัจจุบันเราเสี่ยงที่จะสูญเสียแหล่งทรัพยากรเหล่านี้ไปอย่างรวดเร็วก่อนจะได้เรียนรู้คุณค่าของพวกมัน งูกำลังลดจำนวนลง เช่นเดียวกับสัตว์ชนิดอื่นๆ มหาสมุทรเผชิญชะตากรรมเดียวกัน คุณสมบัติทางเคมีของทะเลและมหาสมุทรที่เปลี่ยนแปลงไป อาจทำให้ขุมพิษอันทรงคุณค่าตั้งแต่หอยเต้าปูนไปจนถึงหมึกยักษ์สาบสูญไป
...
ตากัชทิ้งท้ายว่า “ในการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพทั่วโลก เราควรให้ความสำคัญกับความหลากหลาย ทางชีวภาพเชิงโมเลกุลมากกว่าที่เป็นอยู่” โมเลกุลของยามรณะจากธรรมชาติเป็นสิ่งที่เราควรพิทักษ์ไว้เป็นอันดับต้นๆ เพราะสิ่งเหล่านี้จะหวนกลับมาช่วยชีวิตเราในท้ายที่สุด”
เรื่อง เจนนิเฟอร์ เอส. ฮอลแลนด์ ภาพถ่าย มาเทียส คลุม