ทุกๆปีในฤดูใบไม้ผลิ ราชวงศ์เบลเยียมจะเปิดเรือนเพาะชำส่วนพระองค์ ที่ชื่อว่า Royal Greenhouses of Laeken ซึ่งตั้งอยู่ชานกรุงบรัสเซลส์ไปทางตอนเหนือราว 5 กิโลเมตร ให้ผู้คนจากทั่วโลกได้มีโอกาสชื่นชมความสวยงามของดอกไม้ และพันธุ์ไม้หายาก เป็นเวลาประมาณ 3 สัปดาห์ และการเข้าชมเรือนกระจกสมัยศตวรรษที่ 19 ต้องจองคิวผ่านระบบออนไลน์ โดยเสียค่าเข้าชมคนละ 5 ยูโร

บุญธง ก่อมงคลกูล ผู้สื่อข่าวไทยรัฐ ประจำเบลเยียม เป็นคนหนึ่งที่เฝ้ารอเวลาการเปิดสวนส่วนพระองค์ของสมเด็จพระราชาธิบดีฟิลิปแห่งเบลเยียมแห่งนี้ เป็นประจำทุกปี โดยในปีนี้ Royal Greenhouses of Laeken กำหนดเปิดให้เข้าชมไปเมื่อวันที่ 14 เมษายนที่ผ่านมา และจะเปิดยาวถึง 7 พฤษภาคม เป็นโอกาสที่ทั้งประชาชนชาวเบลเยียม และนักท่องเที่ยวจากประเทศต่างๆ จะได้ชื่นชมคอลเลกชันพันธุ์ไม้หายาก ที่บางชนิดมีเฉพาะที่นี่แห่งเดียวในโลกเท่านั้น

“คุณต้องมีเวลาอย่างน้อย 1.30-2.30 ชั่วโมง ในการเดินชมสวนและเรือนกระจกรวมไปถึงโบสถ์เหล็กแห่งเบลเยียมแห่งนี้ ซึ่งแน่นอน คุณแทบจะลืมเวลาไปเลย เพราะความสวยงาม มีเสน่ห์ราวกับต้องมนต์ของสวนแห่งนี้” พี่บุญธงบอกพร้อมกับให้ข้อมูลว่า เส้นทางที่ยาวที่สุดเริ่มต้นด้วยการเดินชมในสวน Royal Estate ที่เราสามารถชื่นชมทัศนียภาพแบบพาโนรามาของเรือนกระจกได้ หลังจากนั้นการเดินชมจะเป็นภายในหน้าต่าง แล้วจึงเดินข้าม Serre du Congo ซึ่งเป็นพื้นที่เพาะปลูกพืชกึ่งเขตร้อน สวนฤดูหนาวและต้นเฟิร์นใต้โดมที่ใหญ่ที่สุดของกลุ่มอาคาร หรือ Embarcadère ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นจุดต้อนรับผู้มาเยือน

...

Royal Greenhouses of Laeken มีเจ้าหน้าที่ในการดูแลสวนมากกว่า 30 คน หน้าที่หลักคือ การดูแลรักษาสวนพื้นที่ 186 เฮกตาร์ตลอดทั้งปี

“เรากำลังเริ่มเตรียมงานตอนนี้เพื่อเตรียม พร้อมสำหรับปีหน้า” โยฮัน โลเวอรส์ หัวหน้าคนสวนของเรือนกระจกแห่งเบลเยียม อธิบาย พร้อมกับบอกว่า ในแต่ละปีเส้นทางเดินชมสวนแห่งนี้อาจปรับเปลี่ยนเล็กน้อย รวมทั้งมีการนำเสนอสิ่งแปลกใหม่ให้กับผู้ที่มาเยี่ยมชม

โลเวอรส์ บอกว่า ทุกอย่างมีการคำนวณล่วงหน้า เราต้องเล่นกับฤดูใบไม้ผลิที่เริ่มมีความอุ่นและแสงแดดจากธรรมชาติ เพื่อให้มีดอกไม้สำหรับให้ชื่นชม นับว่าเป็นงานที่มีความท้าทายอย่างแท้จริง และในช่วงเวลา 3 สัปดาห์ของการเปิดให้ผู้คนเข้าชมสวนแห่งนี้ ก็คือช่วงเวลาเดียวกับที่พันธุ์ไม้หลากหลายสายพันธุ์ออกดอก แข่งกันอวดโฉมและสีสันแบบอร่ามเรือง

ตามประวัติศาสตร์บอกว่า สถาปนิกที่ออกแบบ Royal Greenhouses of Laeken แห่งนี้คือ อัลฟองส์ บาลาท์ ซึ่งเป็นอาจารย์ของวิคเตอร์ ฮอร์ตา และพระเจ้าลีโอโปลด์ที่ 2 ในปี ค.ศ.1874 ถือเป็นส่วนหนึ่งของสวนส่วนพระองค์ของราชวงศ์เบลเยียม

กล่าวกันว่า พระเจ้าลีโอโปลด์ที่ 2 ทรงได้รับแรงบันดาลใจในการสร้างเรือนกระจกขนาดใหญ่แห่งนี้มาจากคริสตัลพาเลซ ซึ่งเคยเป็นเรือนกระจกขนาดใหญ่ในสวนสาธารณะ Hyde Park ของลอนดอน เมื่อครั้งที่เสด็จไปเยือนเมื่อปี ค.ศ.1851

...

เรือนกระจกหลวงแห่ง Laeken เป็นเรือนกระจกสไตล์อาร์ต นูโว ประกอบด้วย เรือนกระจกเขตร้อน กึ่งเขตร้อน และเรือนกระจกเย็น หรือ Winter Garden ซึ่งเป็นอาคารทรงโดมขนาดใหญ่รองรับด้วยเสาดอริกทรงกลม มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 57 เมตร และสูง 25 เมตร สามารถปลูกต้นปาล์มที่นำเข้าจากคองโก และยังทำหน้าที่เป็นโครงสร้างหลักของเรือนกระจกทั้งหมด เชื่อมต่อกับเรือนกระจกอื่นๆของคอมเพล็กซ์ ซึ่งครอบคลุมพื้นที่รวมกัน 2.5 เฮกตาร์ (6.2 เอเคอร์) เรียกว่าเรือนกระจกปาล์ม เรือนกระจกคองโก เรือนกระจกไดอานา และเรือนกระจกเอ็มบาร์กาแดร์

พี่บุญธง บอกว่าไฮไลต์สำคัญของการเปิดเรือนกระจก Laeken ในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่ดอกไม้ส่วนใหญ่ในเรือนกระจกบานสะพรั่ง ไฮไลต์ของคอลเลกชันนี้คือพันธุ์ไม้หายากที่นำกลับมาจากประเทศคองโกและคอลเลกชันต้นส้มซึ่งหลายต้นมีอายุหลายร้อยปีทีเดียว

...

“แรงจูงใจของพระเจ้าลีโอโปลด์ที่ 2 ในการสร้างเรือนกระจกที่ซับซ้อน ยืนยันได้ว่า เขาไม่เพียงต้องการมีเรือนกระจกอันโอ่โถงใกล้กับที่พักของเขาเท่านั้น แต่ยังต้องการเน้นย้ำถึงอำนาจในอาณานิคมของเขาโดยเฉพาะการสร้างอาณานิคมส่วนตัวที่เรียกว่ารัฐอิสระคองโก” พี่บุญธงอธิบายพร้อมกับให้ข้อมูลเพิ่มว่า นอกจากเรือนกระจกอันน่าตื่นตาตื่นใจที่สุดในโลกแล้ว ในบริเวณเดียวกันยังมี โบสถ์เหล็ก สไตล์นีโอไบแซนไทน์และโดมรองรับด้วยเสาหินแกรนิตขนาดใหญ่ 20 เสาจากสกอตแลนด์ ซึ่งเป็นอาคารสุดท้ายที่สร้างเสร็จในปี ค.ศ.1893 มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า “Chapel Greenhouse”

ใครที่มีโอกาสไปเยือนยุโรปในช่วงนี้อาจใช้เวลาว่างช่วงสุดสัปดาห์แวะไปเยี่ยมชม Royal Greenhouses of Laeken และ Chapel Greenhouse เพื่อสัมผัสสีสัน เสน่ห์ และ มนต์ขลังแห่งดอกไม้ความยิ่งใหญ่ของอดีต โดยเรือนกระจกอันน่าทึ่งของเบลเยียมแห่งนี้จะเปิดให้ชมในเวลากลางคืนในช่วงวันสุดสัปดาห์ด้วย.