“วิวเป็นของเรา แต่เขาเป็นของลาว”
คือ สโลแกนที่พูดกันติดปากของผู้คนชาวนครพนม เหตุเพราะเมื่อมองจากฝั่งโขงเมืองไทยไปยังแขวงคำม่วน ของลาว จากจังหวัดนครพนม เราจะเห็นทิวเขาที่อุดมสมบูรณ์เป็นแนวยาวของภูเขาควาย ที่ได้ชื่อว่า เป็นกุ้ยหลินเมืองลาว
10 ปีมานี้ เมืองนครพนม เติบโตอย่างก้าวกระโดด จำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นมากกว่า 130% เช่นเดียวกับราคาที่ดินริมแม่น้ำโขงที่แพงลิ่วจนแทบจับต้องไม่ได้ กลายเป็นจุดหมายปลายทางอันดับหนึ่งของภาคอีสานที่ผู้คนเลือกเดินทางมาท่องเที่ยว
แลนด์มาร์กสำคัญๆของที่นี่ คงหนีไม่พ้น พระธาตุพนม องค์พระธาตุศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง ซึ่งประดิษฐาน ณ วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร จากการขุดค้นทางโบราณคดี ทราบว่า พระธาตุพนม สร้างขึ้นระหว่าง พ.ศ.1200-1400 ตามตำนานกล่าวว่า ผู้สร้างคือ พระมหากัสสปะ และพระอรหันต์ 500 องค์ รวมทั้งท้าวพระยาเมืองต่างๆ ภายในองค์พระธาตุบรรจุพระอุรังคธาตุของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และของมีค่าอีกมากมาย ลักษณะองค์พระธาตุเป็นเจดีย์ทรงสี่เหลี่ยมก่อด้วยอิฐ มีลวดลายสลักลงบนแผ่นอิฐสวยงาม มีฐานกว้างด้านละ 12.33 เมตร สูง 53.60 เมตร บนยอดพระธาตุเป็นฉัตรทองคำมีน้ำหนักถึง 110 กิโลกรัม และมีพลอยประดับงดงาม
...
ตามตำนานเล่าว่า องค์พระธาตุพนมมีความเกี่ยวกันกับพญานาคราช โดยมีพญานาคราช 7 ตน คือ 1.พญาสัทโทนาคราชเจ้า เป็นประธาน 2.พญาศีลวุฒินาโค 3.พญาหิริวุฒินาโค 4.พญาโอตตัปปะวุฒินาโค 5.พญาพาหุสัจจะวุฒินาโค 6.พญาจาคะวุฒินาโค 7.พญาปัญญาเตชะวุฒินาโค ได้รับบัญชาจากพระอินทราธิราชเจ้าให้มารักษาพระอุรังคธาตุ ไปจนกว่าจะหมดสิ้นศาสนาพระสมณโคดม
ราวเดือนมีนาคม 2518 เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ ทำให้เกิดรอยร้าว ขนาดใหญ่ที่องค์พระธาตุลามจากส่วนบนที่เริ่มปริร้าวลงมายังฐาน ทำ ให้เริ่มเอียงจากแกนเดิม พอเข้าช่วงฤดูฝน เกิดฝนตกและพายุพัดแรงติดต่อกันหลายวัน ทำให้พระธาตุพนมหักโค่นล้มลงมาทั้งองค์ ประชาชนทั้งประเทศได้ร่วมกันบริจาคทุนทรัพย์ และรัฐบาลได้ก่อสร้างองค์พระธาตุขึ้นใหม่ตามแบบเดิมจนแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ.2522 โดยเป็นพระธาตุประจำวันของผู้ที่เกิดวันอาทิตย์ และเป็นพระธาตุประจำปีเกิดของผู้ที่เกิดปีวอก ใครที่มาเที่ยวนครพนม ไม่ได้ไปสักการะองค์พระธาตุพนม ถือว่ามาไม่ถึง
อีกที่หนึ่งที่กลายเป็นจุดสำคัญของเมืองนครพนม ก็คือ ลานพญาศรีสัตตนาคราช ริมแม่น้ำโขง องค์พญานาคหล่อด้วยทองเหลือง มีน้ำหนักรวม 9,000 กก. เป็นรูปพญานาคขดหาง 7 เศียร ประดิษฐานบนแท่นฐานแปดเหลี่ยม กว้าง 6 เมตร ความสูงทั้งหมดรวมฐาน 15 เมตร โดยความเชื่อของทั้งชาวไทยและชาวลาวเชื่อว่า องค์พญาศรีสัตตนาคราช เป็นตระกูลพญานาคที่สืบสายพันธุ์มาแต่ครั้งพุทธกาล เรียกได้ว่าเป็นต้นตระกูลแห่งพญานาคทั้งหลาย แม้จุดประสงค์ของการสร้างองค์พญานาค จะเป็นไปเพื่อการอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณี และความเชื่อ แต่คนนครพนมบอกว่า นับตั้งแต่มีองค์พญาศรีสัตตนาคราชมาประดิษฐาน คนนครพนมมีรายได้ มีฐานะดีขึ้น และทำให้เมืองเจริญอย่างก้าวกระโดด ทั้งในด้านเศรษฐกิจ การลงทุน และการท่องเที่ยว
อีกที่หนึ่งที่ไม่ควรพลาด คือ บ้านลุงโฮ หรือที่มีอีกชื่อเรียกหนึ่งว่า บ้านท่านโฮจิมินห์ ตั้งอยู่ที่หมู่บ้านนาจอก ตำบลหนองญาติ อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม เป็นอีกสถานที่ประวัติศาสตร์ ที่ทั้งชาวไทยและชาวเวียดนามต่างต้องแวะเวียนมา เพื่อเรียนรู้ประวัติศาสตร์การหลบหนีสงครามเข้ามาพำนักในประเทศไทยของ ลุงโฮ หรือ เหงียน ซิญ กุง นักปฏิวัติผู้ยิ่งใหญ่ และอดีตประธานาธิบดีสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามของเวียดนาม
ตามประวัติศาสตร์บอกว่า ครั้งหนึ่งโฮจิมินห์เคยเข้ามาอาศัยพึ่งพระบรมโพธิสมภาร พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช แห่งราชอาณาจักรไทย เพื่อกอบกู้เอกราชของเวียดนามในช่วงระหว่างการทำสงคราม เพื่อเตรียมการปฏิวัติสู้กับประเทศฝรั่งเศส โดยในช่วงระหว่างปี พ.ศ.2467-2474 ลุงโฮได้ย้ายมาอยู่ที่จังหวัดนครพนม โดยมาอาศัยอยู่กับเพื่อนที่มาจากเวียดนามที่ถือได้ว่าเป็นเพื่อนสนิทร่วมอุดมการณ์เดียวกัน เพื่อนสนิทของลุงโฮ ได้เดินทางเข้ามาพำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทยและมีครอบครัวที่ประเทศไทย
...
ปัจจุบันบ้านหลังนี้ได้มีการสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นมาและเป็นสถานที่แสดงประวัติเกี่ยวกับลุงโฮรวมถึงบอกเล่าเรื่องราวทางประวัติศาสตร์และ เรื่องราวการใช้ชีวิตของลุงโฮที่ประเทศไทย ภายในบ้านถูกแบ่ง มีข้าวของเครื่องใช้ของลุงโฮที่ยังเหลืออยู่ ไม่ว่าจะเป็น โต๊ะทำงาน ห้องนอน บ้องสูบยา ภายในยังมีรูปเกี่ยวกับชีวประวัติท่านประธานโฮจิมินห์เพื่อให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้อีกด้วย
...
สุดท้ายที่ต้องไปเช็กอิน เห็นจะเป็น หอนาฬิกาเวียดนามอนุสรณ์ เป็นสัญลักษณ์อีกแห่งหนึ่งของเมืองนครพนม หากใครมาตัวเมืองนครพนมต้องไม่พลาด หอนาฬิกาแห่งนี้ถูกสร้างโดยชาวเวียดนามที่อาศัยอยู่ในจังหวัดนครพนม เพื่อเป็นที่ระลึกก่อนย้ายกลับเวียดนามตามท่านโฮจิมินห์ หลังชนะสงครามภายในประเทศ เมื่อครั้งฝรั่งเศสพ่ายแพ้ในสงครามเดียนเบียนฟู ชาวเวียดนามที่ลี้ภัยมาอาศัยในนครพนมได้ร่วมกัน สร้างหอนาฬิกาขึ้นเพื่อระลึกถึงไมตรีจิตของคนไทย เมื่อปี พ.ศ.2503 เป็นอนุสรณ์ของการขอบคุณคนไทย ของชาวเวียดนามที่ควรค่าแก่การจดจำรำลึก
ใครที่มองหาที่เที่ยวในช่วงสิ้นปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ ถ้านึกอะไรไม่ออก แนะนำที่นี่...นครพนม เมืองที่ใครได้มาก็ต้องหลงเสน่ห์ เมืองเรืองแสง... แห่งลุ่มน้ำโขง.
...