ยุคนี้ไม่ได้มีเพียงแค่การ Search ด้วยข้อความหรือตัวอักษรเท่านั้น แต่ยังมีฟีเจอร์การค้นหาแบบใหม่ที่เรียกว่า Voice Search อีกด้วย ซึ่งเป็นการ Search หาข้อมูลง่ายๆ ด้วยเสียงของผู้พูดนั่นเอง เราอาจรู้มาบ้างว่าการสั่งงานด้วยเสียงนั้นมีมานานหลายปีแล้ว แต่ในอดีตยังคงใช้งานได้ดีแค่กับภาษาอังกฤษ แต่ตอนนี้ระบบ Voice Search สามารถรองรับภาษาที่หลากหลายมากขึ้น อย่างภาษาไทย ระบบ AI ก็สามารถตรวจจับเสียงผู้พูด พร้อมแสดงผลลัพธ์ออกมาได้อย่างแม่นยำและเป็นธรรมชาติมากขึ้น ดังนั้น Voice Search จึงได้รับความนิยมจากผู้ใช้งานมากขึ้นเรื่อยๆ กับคนทำธุรกิจก็เช่นเดียวกัน เพราะเราสามารถนำข้อมูลที่ผู้ใช้งานค้นหาด้วยเสียงอย่างเป็นธรรมชาตินี้ไปส่งเสริมการทำ SEO ให้หน้าเว็บไซต์ของเราติดอันดับได้ดีขึ้น! สำหรับใครที่ยังสงสัยว่า Voice Search คืออะไร? จะทำอย่างไรให้การค้นหาด้วย Voice Search สามารถติด SEO หน้าเว็บไซต์ที่เราต้องการได้ บทความนี้มีคำตอบให้กับทุกคนแล้ว มาดูไปพร้อมกันเลย!

Voice Search คืออะไร

Voice Search คือ การค้นหาข้อมูลต่างๆ ที่เราต้องการ ด้วยการใช้ ‘คำสั่งเสียง’ บน Search Engine อย่าง Google Voice Search หรือ SIRI ในระบบ iOS หลังจากนั้น AI จะทำการ Generate หรือประมวลผลข้อมูลจาก Keyword ที่จับได้ และแสดงผลลัพธ์ที่เราต้องการออกมาเป็นข้อความ เว็บไซต์ หรือรูปภาพที่มีความเกี่ยวข้องกัน เช่น เราพูดว่า 'ทีไหนน่าเที่ยว' ผลลัพธ์ที่ปรากฏออกมาอาจมีทั้งลิสต์สถานที่ท่องเที่ยว วิดีโอ Vlog ท่องเที่ยว หรือรูปภาพสถานที่ต่างๆ เป็นต้น

Voice Search ต่างจาก Text Search อย่างไร

สำหรับใครที่สงสัยว่า Voice Search ต่างจาก Text Search ยังไง เพราะก็เป็นการค้นหาข้อมูลเหมือนกัน ได้ผลลัพธ์ปลายทางเหมือนกัน แถม Voice Search ยังไงก็ต้องเปลี่ยนให้กลายมาเป็นข้อความก่อนนำไป Generate อยู่ดี มาดูคำตอบที่นี่เลย

Voice Search ใช้ลักษณะภาษาที่แตกต่าง Text Search

ถึงแม้จะเป็นการค้นหา Topic เดียวกัน แสดงผลลัพธ์ปลายทางออกมาคล้ายกัน แต่การค้นหาด้วย Voice Search และการค้นหาด้วย Text Search ทั้งสองรูปแบบนี้มีการใช้ 'ลักษณะภาษาที่แตกต่างกัน' โดยการค้นหาข้อมูลด้วย Voice Search ผู้ใช้มักจะเลือกใช้ภาษาพูดที่เป็นกันเอง มีความเป็นธรรมชาติสูง และส่วนใหญ่จะเป็นประโยคคำถาม แต่การค้นหาด้วย Text Search ผู้ใช้มักจะพิมพ์แค่ Keyword สำคัญๆ เป็นคำสั้นๆ แล้วให้ระบบประมวลผลต่อเอง เช่น

- Voice Search : แถวบรรทัดทอง ร้านอาหารร้านไหนอร่อย
- Text Search : ร้านอาหาร บรรทัดทอง

Voice Search มีข้อจำกัดที่แตกต่างกับ Text Search

ด้วย Text Search เป็นการค้นหาข้อมูลด้วยการพิมพ์ข้อความ และมีมานานแล้ว จึงไม่ค่อยมีข้อจำกัดที่มากนัก สามารถเปลี่ยนภาษาจากภาษาหนึ่งไปอีกภาษาหนึ่งได้ง่าย มีการแก้คำผิดอัตโนมัติ และแนะนำการแสดงผลลัพธ์ออกมาได้ใกล้เคียงกับข้อมูลที่ต้องการ แม้จะมีการพิมพ์ที่ผิดหรือพิมพ์ตกหล่นไป ในขณะที่ Voice Search ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นมาภายหลัง ยังมีข้อจำกัดในหลายๆ จุด ได้แก่

การออกเสียง

Voice Search มีหลักการทำงานคือสั่งการด้วยเสียง > AI จับ Keyword ที่ได้ยิน แปลงเป็นข้อความ > ประมวลผลลัพธ์ > และแสดงผลลัพธ์ที่มีความเกี่ยวข้องมากที่สุด ซึ่งในการสั่งการด้วยเสียงหรือพูดบน Search Engine นั้นหากพูดโดยใช้สำเนียงไม่ชัดเจน พูดไม่ครบประโยค หรือพูดเบาจนเกินไป อาจจะทำให้ AI ไม่สามารถจับ Keyword สำคัญได้ และเมื่อไม่เข้าใจว่าต้องการค้นหาเรื่องอะไร ก็อาจแสดงผลลัพธ์ออกมาได้ไม่มีประสิทธิภาพมากพอ

ยังไม่ครอบคลุมทุกภาษา

ในปัจจุบัน AI มีการพัฒนาให้รองรับภาษาได้มากขึ้นแล้ว แต่ก็ยังไม่ครอบคลุมทุกภาษา และยังไม่เท่าทันคำหรือวลีใหม่ๆ ที่มีการคิดค้นขึ้นมาเพื่อใช้อยู่ตลอดเวลาอย่างภาษาสแลง ศัพท์วัยรุ่น หรือคำย่อ ทำให้เมื่อค้นหาด้วยเสียงด้วยภาษาใหม่ๆ หรือศัพท์เฉพาะกลุ่มแล้ว AI อาจจะยังไม่สามารถประมวลผลได้

การรองรับเรื่องความเป็นส่วนตัว

Voice Search เป็นระบบที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาไม่นาน และเพิ่งจะได้รับความนิยมในช่วงสองสามปีมานี้ ระบบความปลอดภัย (Security) หรือความเป็นส่วนตัว (Privacy) จึงยังไม่ได้รับการรองรับ เช่น เมื่อทดลองใช้ Voice Search ไปสักพัก เราอาจได้รับโฆษณา หรือการ Suggest ข้อมูลการค้นหาที่เป็นส่วนตัวของเราโดยที่เราไม่ต้องการ เป็นต้น

Voice Search ช่วยในการทำ SEO อย่างไร

Voice Search ได้กลายเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญในการทำการตลาดออนไลน์ เพราะมีประโยชน์ต่อเว็บไซต์ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับเว็บไซต์ด้วยการปรับปรุงและจัดระเบียบข้อมูลต่างๆ ให้รองรับการใช้คำสั่งด้วยเสียง และดันให้เว็บไซต์ธุรกิจของเราติดหน้าแรกในการค้นหาข้อมูลได้ง่ายขึ้น แน่นอนว่ามีโอกาสสูงที่ Search Engine อย่าง Google จะดึงหน้าเว็บไซต์ธุรกิจเราขึ้นมาเพื่อแสดงผล ตามมาด้วยยอด Traffic และยอด Engagement จากลูกค้าและผู้ใช้ที่แวะเวียนเข้ามาชมเว็บไซต์แบบออร์แกนิก ซึ่งเป็นผลดีอย่างมากกับการทำ SEO ที่ต้องการให้เว็บไซต์ติดอันดับนั่นเอง

ทำ SEO อย่างไรให้รองรับ Voice Search พร้อมดันเว็บไซต์ให้ติดอันดับ

แล้วจะทำ SEO อย่างไรให้รองรับ Voice Search การค้นหาด้วยเสียงนี้ดีนะ? เราพามาดูเทคนิคและกลยุทธ์สำคัญที่สายการตลาดออนไลน์ห้ามพลาด หากอยากให้เว็บไซต์ติดอันดับ และเพิ่มยอดขายให้สินค้าและบริการมากขึ้น

ปรับปรุงและตั้งค่าเว็บไซต์ให้พร้อมรองรับ Voice Search

เทคนิคแรกที่ควรให้ความสำคัญ คือการปรับปรุงและตั้งค่าเว็บไซต์ให้พร้อมรองรับ Voice Search โดยการค้นหาด้วยเสียง มักจะเป็นการใช้ภาษาพูดง่ายๆ และ AI จะจับ Keyword สำคัญมาประมวลผลข้อมูล ดังนั้นเราต้องพยายามสร้าง Keyword ให้ตรงกับคำค้นหาต่างๆ ที่คาดว่าลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมายของเราจะสงสัย อยากรู้ อยากถาม และควรพัฒนาให้เว็บไซต์ใช้งานง่าย มีความลื่นไหล เพราะเมื่อลูกค้ากดเข้ามาในเว็บไซต์แล้วจะรู้สึกอยากใช้งานต่อ ไม่ติดขัดนั่นเอง

ครีเอตคอนเทนต์ให้ปัง รองรับการค้นหาด้วยเสียง

การที่ลูกค้าจะกดเข้ามาอ่านหรือเยี่ยมเว็บไซต์ของเรา ก็ต้องเป็นเพราะเว็บไซต์ของเรามีเนื้อหาหรือคอนเทนต์ที่ตอบโจทย์ในสิ่งที่ลูกค้าอยากรู้ มีความน่าสนใจ หรือตอบคำถามในสิ่งที่สงสัย โดยเทคนิคที่จะช่วยให้สายการตลาดออนไลน์ครีเอตคอนเทนต์ให้รองรับการค้นหาด้วยเสียง มีตามนี้เลย

เลือกใช้ Long-Tail Keyword

Long-Tail จะเป็น Keyword ที่มีความยาว มีลักษณะเป็นวลีหรือประโยค บางครั้งอาจเป็นในรูปแบบประโยคคำถาม ซึ่งมีความใกล้เคียงกับภาษาพูด และมีความเป็นธรรมชาติมากขึ้น สอดคล้องกับ Voice Search ได้เป็นอย่างดี เช่น แทนที่จะใช้คำว่า ‘สถานที่ท่องเที่ยว 2024’ สั้นๆ อย่างเดียว อาจเป็น ‘ไปเที่ยวไหนดี 2024 สถานที่เที่ยวน่าไป ที่ไม่ควรพลาด’ เป็นต้น

อัปเดตเนื้อหาเกี่ยวกับธุรกิจ

ผู้คนส่วนใหญ่เลือกใช้ Voice Search เพื่อค้นหาสถานที่ เวลาเปิด-ปิด หรือข้อมูลด้านต่างๆ เกี่ยวกับธุรกิจ ดังนั้นในการสร้างสรรค์คอนเทนต์ให้ตอบโจทย์ Voice Search SEO ควรใส่ข้อมูลให้ที่เกี่ยวกับธุรกิจให้ชัดเจนและครบถ้วน ยกตัวอย่างเช่น เวลาเปิด-ปิด Location เบอร์โทรติดต่อ อีเมล มีที่จอดรถหรือไม่ เป็นต้น

อัปเดตข้อมูลใน Google My Business เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย

การทำ Voice Search SEO จำเป็นจะต้องมีการอัปเดต Google My Business เพื่อให้ Google รู้ข้อมูลเบื้องค้นเกี่ยวกับธุรกิจ นอกจากควรมีการใช้เทคนิคอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น การทำรีวิวจากลูกค้า ซึ่งช่วยให้กลุ่มเป้าหมายตัดสินใจได้ง่ายขึ้น การสร้าง Keyword ให้ตรงกับคำค้นหา หรือใช้คำที่เป็นวลีฮิต กำลังได้รับความนิยม ก็จะช่วยให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมายได้ง่ายขึ้น

เพิ่มการมองเห็นให้ Google ด้วยการเพิ่ม Schema Markup

Schema Markup เป็น Code ชุดหนึ่งที่วางไว้บนเว็บไซต์ เพื่อช่วยให้ Google เข้าใจว่าบทความที่เราลงไปมีเนื้อหาและวัตถุประสงค์เกี่ยวกับอะไร จะได้ตอบคำถามของผู้ใช้งานได้อย่างตรงจุด และแม่นยำมากขึ้น เช่น การทำ FAQ หรือคำถามที่พบบ่อยเป็นข้อๆ ไว้ในส่วนท้ายบทความ หาก Google มองเห็นเว็บไซต์ของเรา และเห็นว่าบทความที่ลงมีเนื้อหาที่ผู้ใช้งานอยากรู้ หรือป้อนข้อมูลการค้นหาเข้ามา เว็บไซต์ก็จะมีโอกาสติดหน้าแรกการค้นหามากขึ้นนั่นเอง

ทุกเทคโนโลยีที่ได้รับการคิดค้นและพัฒนาขึ้นมามีประโยชน์กับผู้ใช้งานเสมอ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะดึงมันไปใช้อย่างไร ใช้เพื่อวัตถุประสงค์อะไร อย่าง Voice Search การค้นหาด้วยเสียงพูด แม้จะมีข้อจำกัดด้านภาษา สำเนียง และเรื่องความเป็นส่วนตัว แต่ Voice Search ก็ยังมีข้อดีที่ทำให้เราค้นหาข้อมูลได้ง่ายขึ้น สะดวกขึ้น นอกจากนี้ยังสร้างประโยชน์ให้กับการทำการตลาดออนไลน์ เพราะช่วยในการทำ SEO มีผลทำให้เว็บไซต์ธุรกิจต่างๆ ติดอันดับได้ด้วย ผ่านการใช้เทคนิคเสริมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการตั้งค่าเว็บไซต์ การครีเอตเนื้อหา การอัปเดตข้อมูลใน Google My Business หรือการทำ FAQ สำหรับธุรกิจไหนที่กำลังมองหา Agency ชั้นนำรับทำ SEO ให้กับธุรกิจโดยเฉพาะ Minimice Group เป็นตัวเลือกหนึ่งที่สามารถตอบโจทย์และช่วยดันอันดับเว็บไซต์ของคุณให้ขึ้นไปติดท็อปในหน้าค้นหา Google เรามีประสบการณ์เชี่ยวชาญการทำ SEO พร้อมให้บริการอย่างครบวงจร ตั้งแต่การค้นหาและวิเคราะห์ Keyword ออกแบบเนื้อหาและครีเอตคอนเทนต์ให้สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมาย ไปจนถึงการวัดผลที่คุณสามารถมั่นใจได้

ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม

โทร. 02-258-5515 | 098-867-8937
ไลน์. @minimicegroup
อีเมล. info@minimicegroup.co.th