เมื่อความชื่นชอบในตัวบุคคล ไม่ว่าจะเป็น ศิลปิน ดารา คนดัง หรือแม้แต่คนทั่วไป ได้พัฒนาเป็นความคลั่งไคล้จนอยากสะกดรอยตามไปทุกแห่งหน หรือที่เรียกกันว่า สตอล์กเกอร์ (Stalkers) ที่สร้างความรบกวนและอึดอัดใจแก่ผู้ถูกตาม ซึ่งบางกรณีร้ายแรงถึงขั้นมีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต เราควรมีวิธีป้องกันหรือรับมือกับการถูกสะกดรอยตามอย่างไรได้บ้าง

การสะกดรอยตาม (Stalking) คืออาชญากรรมรูปแบบหนึ่ง

การสะกดรอยตาม (Stalking) คือพฤติกรรมที่มุ่งเป้าไปที่บุคคลใดบุคคลหนึ่งแบบเฉพาะเจาะจง ทำให้บุคคลนั้นรู้สึกหวาดกลัว ไม่ปลอดภัย แม้ว่าพฤติกรรมบางอย่างจะดูเหมือนไม่ผิดกฎหมาย แต่เมื่อพิจารณาในบริบทของการสะกดรอยตาม อาจถือเป็นการกระทำผิดกฎหมาย โดยนิยามทางกฎหมายของการสะกดรอยตาม (Stalking) ในแต่ละพื้นที่หรือแต่ละประเทศจะแตกต่างกันออกไป ซึ่งกฎหมายใน 50 รัฐของสหรัฐอเมริกาถือว่าเป็นเรื่องร้ายแรงและมักก่อให้เกิดความรุนแรงในอนาคตหากไม่ได้รับการแก้ปัญหาให้เร็วที่สุด

ภาพจาก iStock
ภาพจาก iStock

...

สำหรับประเทศไทยมีประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 397 ผู้ใดกระทำด้วยประการใดๆ ต่อผู้อื่น อันเป็นการรังแก ข่มเหง คุกคาม หรือกระทำให้ได้รับความอับอายหรือเดือดร้อนรำคาญ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นการกระทำในที่สาธารณะสถานหรือต่อหน้าธารกำนัลต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

พฤติกรรมแบบใดคือการสะกดรอยตาม (Stalking)

โดยส่วนใหญ่ผู้ที่สะกดรอยตาม (Stalkers) มักจะมีพฤติกรรมดังต่อไปนี้

  • โทรศัพท์หาเราบ่อยๆ รวมถึงการโทรแล้ววางสาย
  • ติดตามและปรากฏตัวไปทุกที่ที่เราอยู่
  • ส่งของขวัญ จดหมาย ข้อความ หรืออีเมลที่ไม่พึงประสงค์
  • ทำลายบ้าน รถยนต์ หรือทรัพย์สินอื่นๆ ของเรา
  • ตรวจสอบการโทรศัพท์หรือการใช้งานคอมพิวเตอร์ของเรา 
  • ใช้เทคโนโลยี เช่น กล้องวงจรปิดแบบซ่อนหรือระบบระบุตำแหน่งทั่วโลก (GPS) เพื่อติดตามว่าเราไปที่ใด
  • ขับรถผ่านหรือคอยวนเวียนใกล้บ้าน โรงเรียน หรือที่ทำงานของเรา
  • ขู่ว่าจะทำร้ายเรา ครอบครัว เพื่อน หรือสัตว์เลี้ยงของเรา
  • ดำเนินการอื่นๆ ที่ควบคุม ติดตาม หรือทำให้เราตกใจ
  • ใช้คนอื่นเพื่อพยายามติดต่อเรา เช่น เด็ก ครอบครัว หรือเพื่อน

วิธีรับมือกับการถูกสะกดรอยตาม (Stalking)

เมื่อต้องเจอกับการถูกสะกดรอยตาม (Stalking) ย่อมสร้างความรู้สึกหวาดกลัว ปั่นป่วนจิตใจ และไม่ปลอดภัยต่อชีวิตตนเองและคนรอบข้าง ซึ่งวิธีรับมือเบื้องต้น สามารถทำได้ดังนี้

  • แจ้งตำรวจเพื่อขอความช่วยเหลือทันที : เรารู้จักตัวเองและสถานการณ์ดีกว่าใครๆ จงเชื่อในสัญชาตญาณและขอความช่วยเหลือหากรู้สึกว่าตกอยู่ในอันตราย
  • แจ้งเตือนผู้อื่น : บอกเพื่อน ครอบครัว เพื่อนบ้าน เพื่อนร่วมงาน และ/หรือแผนกทรัพยากรบุคคลของที่ทำงานเราให้คอยสังเกตพฤติกรรมที่น่าสงสัย เพื่อที่พวกเขาจะไม่ให้ข้อมูลแก่บุคคลที่แสร้งทำเป็นคนรักหรือคนในครอบครัวเราโดยไม่ได้ตั้งใจ
  • ติดต่อหาผู้ช่วยเหลือ : ติดต่อหน่วยงานคุ้มครองความรุนแรงในครอบครัวและ/หรือการล่วงละเมิดทางเพศในท้องถิ่น องค์กรตำรวจ และสำนักงานอัยการ เพื่อช่วยพาเราผ่านขั้นตอนการยื่นคำสั่งคุ้มครอง และช่วยวางแผนความปลอดภัย
  • บันทึกเหตุการณ์ทุกครั้ง : จดบันทึกการพบปะกับผู้สะกดรอยตาม (Stalkers) ทุกครั้ง ตั้งแต่การโทรมาแล้ววางสาย ไปจนถึงการพบเห็นในที่สาธารณะ โดยบันทึกข้อความ อีเมล และประวัติการโทรของเราทั้งหมด
  • อย่ามีปฏิสัมพันธ์กับผู้สะกดรอยตาม (Stalkers) : เพราะการกระทำของเราอาจยั่วยุพฤติกรรมของคนร้ายได้
  • เมื่อออกจากบ้านหรือที่ทำงาน : ควรหลีกเลี่ยงที่จะเดินทางไปคนเดียวและควรอยู่ในที่สาธารณะ
  • หากภัยร้ายใกล้จะเกิดขึ้นให้รีบไปหาสถานที่ปลอดภัย : เช่น สถานีตำรวจ บ้านญาติ บ้านเพื่อนสนิท หรือสถานที่สาธารณะ (คนร้ายมักเลี่ยงที่จะก่อเหตุในสถานที่สาธารณะ)
  • ความปลอดภัยภายในบ้าน : ควรสำรวจทางหนีทีไล่ภายในบ้านและสอนคนในบ้านให้ทราบด้วย อีกทั้งเตรียมกระเป๋าซึ่งมีสิ่งของจำเป็นวางไว้ในที่ปลอดภัยหากต้องรีบออกจากบ้านไปอย่างรวดเร็วเราสามารถหยิบกระเป๋าแล้วออกจากบ้านได้อย่างรวดเร็ว

ภาพจาก iStock
ภาพจาก iStock

นอกจากนี้ควรป้องกันตนเองจากการสะกดรอยตามบนช่องทางออนไลน์ (Cyberstalking) ด้วย โดยทำได้ดังนี้

1. ไม่โพสต์ทุกอย่างลงในโซเชียล

หากใช้โซเชียลเพื่อต้องการอัปเดตไลฟ์สไตล์ชีวิตประจำวันให้เพื่อนและคนที่รู้จักทราบ เช่น การถ่ายรูป ควรปิด Geo-tagging หรือปิด Metadata ของรูปถ่ายเพื่อปกปิดข้อมูลส่วนตัวที่เกี่ยวข้องกับภาพถ่าย หรือ การเช็คอินสถานที่ หลีกเลี่ยงการเช็คอินสถานที่ใกล้ๆ ที่อยู่อาศัย เพื่อป้องกันผู้ไม่หวังดีตามมายังสถานที่ที่ของเราอาศัยอยู่

2. ตั้งค่าความเป็นส่วนตัวในบัญชีออนไลน์ทั้งหมด

จำกัดการแชร์เฉพาะกลุ่มคนที่วางใจได้เท่านั้น เช่น สมาชิกในครอบครัวหรือเพื่อนสนิท ตั้งค่าไม่ให้โปรไฟล์ปรากฏเมื่อมีคนค้นหาชื่อของเรา รวมทั้งป้องกันไม่ให้ผู้อื่นเห็นโพสต์และรูปภาพได้

ภาพจาก iStock
ภาพจาก iStock

...

3. ระวังการถูกลักลอบเข้าระบบบัญชี เมื่อใช้คอมพิวเตอร์สาธารณะ

บางครั้งเมื่อเราจำเป็นต้องใช้คอมพิวเตอร์สาธารณะ ควรระมัดระวังเรื่อง Malware ต่างๆ เช่น Keylogger หรือแม้กระทั่ง Stalkerware เพราะอาจถูกแอบติดตามพฤติกรรมออนไลน์ได้ ทำให้สามารถอ่านข้อความต่างๆ เห็นกิจกรรมต่างๆ บนหน้าจอ ทราบโลเคชันผ่าน GPS และแอบเปิดกล้องเพื่อการสอดแนม

4. ใช้ VPN ทุกครั้งเมื่อใช้งานบนเครือข่ายสาธารณะ

เพื่อความปลอดภัยควรใช้ VPN เป็นเครือข่ายเสมือนจริง (Virtual Private Network) เมื่อต้องการเข้าชมเว็บไซต์ หรือบริการออนไลน์ใดๆ

5. Log-out ออกจากระบบทุกครั้ง

เมื่อใช้เครื่องคอมพิวเตอร์สาธารณะ หรือในบริษัท ควรทำการ Log-out ออกจากระบบทุกครั้งเมื่อเลิกใช้งาน และควรล็อคหน้าจอทุกครั้งที่ไม่อยู่โต๊ะถ้าเป็นไปได้ควรตั้งค่าการใช้ Screen Saver พร้อมรหัสผ่านทันทีที่ไม่ได้อยู่หน้าจอ

6. ตั้งรหัสผ่านให้ซับซ้อนและคาดเดายาก

ควรตั้งรหัสให้มีความยาว 12-14 ตัวอักษร ขึ้นไป โดยมีตัวอักษรใหญ่ – ตัวอักษรเล็ก-ตัวเลข รวมกัน เพื่อความความปลอดภัยของบัญชีออนไลน์ต่างๆ

7. ลงโปรแกรมสแกนไวรัสและมัลแวร์บนเครื่องคอมพิวเตอร์

เพื่อช่วยป้องกันภัย Cyberstalking หากถูกแอบติดตั้ง Stalkerware หรือ Spyware บนคอมพิวเตอร์ หรือแม้กระทั่งไวรัส และมัลแวร์ตัวอื่นๆ ด้วยเช่นกัน

8. อย่าแชร์รหัสผ่านบัญชีออนไลน์ต่างๆ ให้คนที่รู้จักทราบ

ระวังเรื่องการแชร์รหัสผ่านบัญชีโซเชียลกับใครก็ตาม ซึ่งอาจถูกลักลอบเข้าระบบและสร้างความเสียหาย เช่น คนในครอบครัว เพื่อนสนิท หรืออดีตคนรัก ไม่ว่าจะลงเอยด้วยการแยกทางแบบใดก็ตาม ทางที่ดีควรเปลี่ยนรหัสผ่านบัญชีออนไลน์ ตั้งค่าความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยใหม่ทั้งหมดทุกครั้งที่มีคนรู้จักทราบ

...

หากถูกคุกคามจาก Cyberstalking แล้ว ในฐานะเหยื่อควรดำเนินการอย่างไร

  • ตั้งสติและรวบรวมหลักฐานให้ได้มากที่สุด เช่น ภาพถ่ายที่ถูกแบล็คเมล์ แชทข้อความ หน้าบัญชีคนร้าย ข้อมูลคนร้าย ฯลฯ
  • เปลี่ยนอีเมลและรหัสผ่านบัญชีออนไลน์ทั้งหมด
  • แจ้ง Help Center ของผู้ให้บริการที่เกี่ยวข้อง เช่น Facebook
  • อย่าตอบโต้หรือนัดพบกับ Cyberstalker เด็ดขาด
  • ติดต่อสถานีตำรวจท้องที่เกิดเหตุทันที

ถึงแม้ประเทศไทยยังไม่มีตัวบทกฎหมายที่เอาผิด Cyberstalker โดยเฉพาะ เหมือนบางประเทศในแถบตะวันตก แต่พฤติกรรมเช่นนี้ หากเป็นเพียงแอบส่องดูเฉยๆ อาจจะไม่เกิดความเสียหายชัดเจน แต่ถ้ามีการพัฒนาขึ้นเป็นการคุกคามทางกายภาพที่ทำให้เหยื่อรู้สึกเดือดร้อน รำคาญ และรู้สึกไม่ปลอดภัย อาจเข้าข่ายฐานความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 397 ที่กล่าวไปในข้างต้น

ในกรณีมีการลอบเข้าระบบคอมพิวเตอร์ของเหยื่อด้วยจะเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ 2560 ตามมาตรา 5 ถึง มาตรา 8 ว่าด้วยการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์หรือข้อมูลฯ ของผู้อื่นโดยไม่ชอบซึ่งต้องระวางโทษจำคุกสูงสุดถึง 2 ปี และ/หรือปรับสูงสุด 4 หมื่นบาท

หากต้องการดำเนินคดีแนะนำให้รวบรวมหลักฐานต่างๆ เพื่อแจ้งความ ณ สถานีตำรวจท้องที่เกิดเหตุ สถานีตำรวจนครบาล สถานีตำรวจภูธร หรือร้องทุกข์ที่ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิด เกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ก็ได้เช่นกัน

ข้อมูลอ้างอิง : Victim Connect Resource Center, สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี