กางเกงแมวโคราช หนึ่งในซอฟต์พาวเวอร์ที่เป็นไวรัลในช่วงปลายปี 2566 และยังได้รับกระแสต่อเนื่องจากการถูกนำไปใช้เป็นแฟชั่นไอเทมในเกมออนไลน์ชื่อดังระดับโลกอย่าง Free Fire โดย โจ-จิรพิสิษฐ์ รุจน์เจริญ ประธาน YEC (Young Entrepreneur Chamber of Commerce) หอการค้าจังหวัดนครราชสีมา เป็นผู้จุดพลุอยู่เบื้องหลังกระแสในครั้งนี้
จากกางเกงแมวโคราชสู่อาร์ตทอย “เจ้าเมื่อย”
นอกจากกางเกงแมวโคราชแล้ว ล่าสุดเขายังปั้น “เจ้าเมื่อย” อาร์ตทอยแมวหน้ากวนที่เจาะกลุ่มวัยรุ่นสายมู ให้เป็นซอฟต์พาวเวอร์ชิ้นใหม่ที่หวังว่าจะช่วยปลุกกระแสการท่องเที่ยวท้องถิ่นในเมืองโคราชและภูมิภาคอื่นๆ ในไทย ที่เขาตั้งใจว่าจะสามารถดึงท่องเที่ยวจีนให้เข้ามามากขึ้นได้ผ่านอาร์ตทอยชิ้นนี้
...
“ผมใช้เวลาคิด Story ของอาร์ตทอยเจ้าเมื่อยประมาณ 2 เดือน ตั้งแต่ตอนที่เริ่มดีลงานเรื่องเกม Free Fire ตอนนั้นผมตั้งคำถามกับตัวเองว่าหลังจากดีลตรงนี้เสร็จแล้วจะยังไงต่อ คนทั่วโลกรู้จักกางเกงแมวโคราชแล้วสเตปต่อไปคืออะไร จึงได้มองว่าเราควรจะต้องหาคาแรกเตอร์ที่มาเล่าเรื่องนี้ต่อ ให้กระแสไม่เงียบเหมือนกางเกงแมวที่คนใส่เป็นไวรัลแล้วจะทำยังไงต่อ ตอนกางเกงแมวผมก็ตั้งคำถามว่า ถ้าคนรู้จักไปทั่วโลก รู้จักว่าประเทศไทยมีจังหวัดที่ชื่อว่าโคราชแล้ว เราจะทำอะไรต่อหลังจากนี้ นี่แหละคือสิ่งที่ทำให้ผมคิด ก็เลยมาลงที่อาร์ตทอยเพราะเอาไปพูดต่อได้ ประชาสัมพันธ์ต่อได้ ไป collaboration ต่อก็ได้ กระตุ้นเศรษฐกิจก็ได้ ก็เลยเป็นสิ่งที่น่าสนใจ”
เหตุผลที่เลือกแมวเป็นคาแรกเตอร์ของอาร์ตทอยก็มาจากเรื่องราวในตำนานกว่า 600 ปีที่น่าสนใจของแมวโคราชหรือแมวสีสวาด ซึ่งเป็นแมวไทยมงคลและยังเป็นแมวท้องถิ่นของจังหวัดโคราชอีกด้วย โดยมีเรื่องเล่าต่อกันมาว่าในอดีตขุนนางมักจะนิยมมอบแมวโคราชให้เป็นของขวัญของกำนัลแก่กันเพราะเชื่อว่าจะให้โชค ประกอบกับที่เขาเห็นกระแสความนิยมอาร์ตทอยในกลุ่มคนรุ่นใหม่เพิ่มมากขึ้น จนถึงขั้นเข้าแถวยอมต่อคิวซื้อได้ทั้งวัน จึงจุดประกายไอเดียอาร์ตทอย “เจ้าเมื่อย” ขึ้นมาโดยผสมเรื่องโชคลางเข้าไปด้วยให้มีความน่าสนใจและสามารถต่อยอดไปเรื่องต่างๆ ได้มากขึ้น
จิรพิสิษฐ์สังเกตเห็นว่าคนรุ่นใหญ่ เช่น พ่อแม่ ลุงป้าน้าอา เมื่อมาเที่ยวโคราชก็มักจะไปไหว้ย่าโมกัน ขณะที่กลุ่มเด็กวัยรุ่นเลือกที่จะไปนั่งรอในร้านคาเฟ่ ซึ่งเขาเข้าใจอินไซต์ของคนรุ่นใหม่ที่ความจริงแล้วก็สนใจเรื่องสายมูไม่แพ้กัน แต่ไม่ชอบการมูแบบตะโกนให้โลกรู้ ไอเดียอาร์ตทอยสายมูผ่าน “เจ้าเมื่อย” จึงเกิดขึ้น โดยเขาให้วัดดังในโคราชมาช่วยปลุกเสกอาร์ตทอยเจ้าเมื่อย เพื่อให้คนตามมาที่วัดเหล่านั้น และเพื่อช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวในเมืองโคราชที่นอกเหนือจากการมาเที่ยวเขาใหญ่อีกด้วย
...
“ต่อไปจะมีเรื่องราวเล่าผ่านสื่อต่างๆ ออกไปว่า วันนี้เจ้าเมื่อยพามาที่นี่นะ เจ้าเมื่อยจะมาแนะนำ 9 วัดในโคราชนะ เจ้าเมื่อยจะแนะนำสิ่งต่างๆ ในโคราชได้หมด Story ของเจ้าเมื่อยจะเหมือนเป็นอินฟลูเอนเซอร์ในรูปแบบมาสคอต”
ส่วนดราม่าเรื่องการเลียนแบบแมวกวักญี่ปุ่นนั้น เขามองว่าก็อาจจะมีได้ แต่อยากให้มองว่าเป็นทางเลือกมากกว่า เพราะแมวกวักญี่ปุ่นสามารถทำให้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลกได้ เขาจึงอยากให้แมวไทยเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกได้เหมือนกัน ซึ่งเป็นแมวไทยมงคลที่อยู่ในตำราจริงๆ ให้คนมารู้จักมากขึ้น
การต่อยอด “เจ้าเมื่อย” สู่การกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ
...
สำหรับอนาคตของเจ้าเมื่อยนั้น เขาได้บอกกับทีมข่าวไลฟ์สไตล์ไทยรัฐออนไลน์แบบแง้มๆ มาว่ากำลังอยู่ในขั้นตอนนัดเจรจากับแบรนด์อาร์ตทอยรายใหญ่ของประเทศจีนอยู่ ซึ่งทางนั้นให้ความสนใจเจ้าเมื่อยเป็นอย่างมาก และอยากนำเจ้าเมื่อยไปจำหน่ายที่จีนด้วย เขาจึงมองว่าเป็นเรื่องดีเพราะประเทศจีนเป็นตลาดใหญ่ของอาร์ตทอยและสายมู หากเจรจานี้ลงตัวก็คิดว่าจะเป็นการส่งออกซอฟต์พาวเวอร์ที่น่าสนใจมาก
ขณะเดียวกันก็อาจจะมีการต่อยอด “เจ้าเมื่อย” ออกไปในรูปแบบต่างๆ ที่นอกเหนือจากอาร์ตทอย เช่น แอนิเมชัน โดยให้เจ้าเมื่อยทำหน้าที่เป็นตัวแทนอินฟลูเอนเซอร์ในแต่ละภูมิภาคของไทย ตัวอย่างเช่น ภาคอีสานก็เป็นเจ้าเมื่อยแมวสีสวาด ทำหน้าที่สื่อสารว่าในภาคนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวอะไรบ้าง หรือมีการแนะนำสถานที่ไหว้พระ 9 วัด ผ่านคาแรกเตอร์เจ้าเมื่อย เป็นต้น
...
นอกจากกระตุ้นเจ้าเมื่อยให้คนทั่วไปได้รู้จักแมวไทยมงคลในรูปแบบอาร์ตทอยและตัวการ์ตูนแล้ว สิ่งหนึ่งที่ทำให้คนสนใจมากยิ่งขึ้นคือช่วยกระตุ้นให้คนไทยหันมาสนใจอยากเลี้ยงแมวสายพันธุ์ไทยมากขึ้น ซึ่งจิรพิสิษฐ์ บอกกับเราว่ามีเจ้าของฟาร์มแมวไทยโทรมาขอบคุณที่ทำให้ยอดการจองซื้อแมวไทยเพิ่มขึ้นกว่าเดิมมาก ซึ่งเขามองว่าแมวไทยก็เป็นซอฟต์พาวเวอร์ที่น่าสนใจอย่างหนึ่ง นอกจากน่ารักไม่แพ้แมวสายพันธุ์ต่างชาติราคาหลักหมื่นแล้ว แมวไทยยังมีราคาย่อมเยากว่าอีกด้วย
“ปกติคือคนไทยจะรู้จักแมวต่างชาติเยอะ ก็อยากให้มารู้จักแมวไทยมากขึ้น ฟาร์มแมวไทยก็ได้กระแสตรงนี้ไปเยอะมาก เขาก็โทรมาขอบคุณที่เราทำเรื่องนี้ จากเดิมที่เป็นแมวที่ไม่ค่อยมีคนสนใจ ราคาอยู่ที่หลักพัน แต่ตอนนี้มีคนมาจองแมวของเขามากขึ้น ก็ทำให้เกิดเป็นกระแสรอบๆ ตัวแมวได้อีก ทำให้คนไทยมาเลี้ยงแมวไทยมากขึ้น สินค้าเกี่ยวกับอาหารและของใช้ต่างๆ เกี่ยวกับแมวก็ได้รับความสนใจมากขึ้นตามไปด้วย”
เปิดใจ จิรพิสิษฐ์ รุจน์เจริญ มนุษย์เป็ด ผู้ผลักดันซอฟต์พาวเวอร์สไตล์ Gen Z
ก่อนจะมาเป็นประธาน YEC (Young Entrepreneur Chamber of Commerce) หอการค้าจังหวัดนครราชสีมา ที่มีบทบาทในการผลักดันกางเกงแมวโคราชและเจ้าเมื่อยอาร์ตทอยสายมูให้เป็นที่รู้จักในวันนี้ได้ จิรพิสิษฐ์ รุจน์เจริญ หรือโจ หนุ่มนักธุรกิจวัย 31 ปี บอกว่าเขาเคยเป็น “มนุษย์เป็ด” ในสายตาผู้ใหญ่มาก่อน
เนื่องจากที่ผ่านมาเขามักสนใจหลายสิ่งหลายอย่างรอบตัวและชอบเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็น เรียนถ่ายภาพ เรียนทำค็อกเทล เปิดร้านอาหาร ทำร้านคาเฟ่ ทำธุรกิจอสังหาฯ จึงทำให้ในสายตาผู้ใหญ่มองว่าเขาทำอะไรไม่โดดเด่นสักอย่าง แต่สำหรับเขาแล้วการที่เป็นมนุษย์เป็ดมีข้อดีคือการได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ แล้วนำข้อดีของทักษะในแต่ละด้านมาประกอบเข้าด้วยกัน
“ที่ผ่านมาผมเป็นคนทำอะไรค่อนข้างหลากหลายมากๆ เลย ถ้าผู้ใหญ่มองจะมองว่ามันไม่โฟกัสอะไรสักอย่างมันเหมือนเป็ด แต่ผมมองว่าสิ่งที่มันเป็นเป็ดมันทำให้เรียนรู้ได้ทำอะไรหลายๆ อย่าง มันสามารถประกอบเป็นสิ่งใหม่ได้ตลอดเวลา นี่คือสิ่งที่ผมยึดหลัก แล้วก็ทำมาตลอด ผมจะค่อนข้างเปิดมาก ไปลองเรียนอะไรใหม่ๆ ไปลองทำอะไรใหม่ๆ อย่างตัวอาร์ตทอยเนี่ยผมก็ไม่ได้เป็นคนสะสมอาร์ตทอยมาตั้งแต่แรก แต่ผมรู้สึกผมชอบศิลปะ ผมชอบคาแรกเตอร์ ผมชอบเรื่องเมือง ผมชอบพัฒนาเมือง ผมชอบเรื่องมาพัฒนาเศรษฐกิจในจังหวัด ทุกอย่างเลยตกตะกอนมาเป็นผมในทุกวันนี้”
ขณะเดียวกันเขาก็ชอบตั้งคำถามกับสิ่งต่างๆ รอบตัวเสมอว่า “ทำไม” เช่น ทำไมการ์ตูนที่เราดูทุกวันนี้ถึงมีแต่ของต่างชาติ ทำไมคาแรกเตอร์การ์ตูนถึงมีมูลค่าเป็นพันล้าน ร้อยล้าน ทำไมคนไทยทำไม่ได้ทั้งที่คนไทยทำวิจิตรศิลป์ที่เก่งมากมาตั้งแต่สมัยโบราณ ทำไมเราถึงไม่มีเวทีตรงนี้
ทั้งหมดนี้จึงเป็นที่มาทำให้เขาคิดว่าหากเขาเป็นมนุษย์เป็ดที่ชอบตั้งคำถามแล้วจุดประกายให้กับคนอื่นและสังคมได้ ก็จะทำให้คนที่มีความสามารถแต่ไม่กล้าแสดงออก ก็มีความกล้าที่จะยืนหยัดในสิ่งที่ตนเองชอบและแสดงความสามารถให้คนอื่นเห็นได้ไม่ต่างจากเขาเช่นกัน
ขณะเดียวกันเขาก็มีมุมที่คิดต่างไปจากคนวัยอื่น โดยเขาตีความคำว่า “ซอฟต์พาวเวอร์” ว่าหมายถึงอะไรก็ได้ ไม่จำกัดแค่เรื่องอาหาร การท่องเที่ยว ศิลปวัฒนธรรมเท่านั้น เพราะด้วยยุคสมัยในเจเนอเรชันของเขาที่โตมากับอาร์ตทอย ของเล่น คาแรกเตอร์การ์ตูน ก็สามารถเป็นซอฟต์พาวเวอร์ได้เช่นกัน เขาจึงอยากให้ทุกคนมองที่ภาพรวมว่าประเทศไทยมีดีอย่างไรเพื่อให้คนมาสนใจมากกว่าที่จะมาเถียงกันว่าซอฟต์พาวเวอร์คืออะไร เพราะสำหรับเขาเองแล้วทุกอย่างรอบตัวสามารถเป็นซอฟต์พาวเวอร์ได้ทั้งหมด
สำหรับอนาคตของเขาที่นอกเหนือจากการเป็นประธาน YEC โคราชในปัจจุบันแล้ว สิ่งที่เขาอยากทำต่อจากนี้คือการมีบทบาทในการช่วยเหลือพัฒนาส่วนใดส่วนหนึ่งของประเทศให้ดียิ่งขึ้น และอยากดึงคนรุ่นใหม่มาช่วยกันด้วย
“ผมอยากให้เห็นว่าถึงแม้ว่าเราจะอยู่ในองค์กรเล็กเราก็สามารถเป็นฟันเฟืองที่ไปต่อยอดเสริมกับประเทศได้ ให้คนอื่นเห็นว่ามันทำได้นะ ซึ่งมันเริ่มจากประธาน YEC ตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ทำให้คนอื่นมองว่าจริงๆ เราก็สามารถพูดเปล่งเสียงออกมาได้ ถึงแม้จะเป็นตัวเล็กที่อยู่ต่างจังหวัด แม้แต่เป็นเมืองรอง หรือจะอยู่ตรงไหนก็ตาม ผมอยากจะดึงคนรุ่นใหม่แบบผมเข้ามาช่วยพัฒนาประเทศ ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งอะไร แต่ถ้าคุณมีปากมีเสียงแล้วมีความสามารถพอ ผู้ใหญ่ก็จะผลักดันต่อเอง” เขากล่าวทิ้งท้าย
ภาพ : Jirapisit Joe Rutcharoen