"The Last of Us" เกมที่ถูกนำมาสร้างเป็นซีรีส์ที่สร้างกระแสไวรัลได้ทุกครั้งที่ออกตอนใหม่ทุกวันจันทร์ คอเกมได้เปรียบเทียบความต่างจากซีรีส์ไว้ดังนี้
ช่วงนี้มีปรากฏการณ์ที่เหนือความคาดหมายยิ่งกว่าซอมบี้ระบาดเกิดขึ้น เมื่อชื่อของ "The Last of Us" ไม่ได้แค่ขึ้นหิ้งบูชาอยู่ในหมู่ของคนเล่นเกมอีกต่อไป กระแสตอบรับที่ดีอย่างล้นหลามจากทั้งสื่อ นักวิจารณ์ และคอซีรีส์ที่แห่กันชมทีวีซีรีส์ซึ่งดัดแปลงจากวิดีโอเกมเรื่องนี้พร้อมกันเป็นเสียงเดียว หอบให้ชื่อ The Last of Us กลายเป็นซีรีส์ที่ร้อนแรงที่สุดในขณะนี้ไปโดยปริยาย เรียกว่าใครไม่ดูถือว่าตกเทรนด์อย่างแรง อย่างไรก็ตาม ถึงแม้เวอร์ชันซีรีส์จอแก้วของมันจะทำได้ดีจนเกือบสมบูรณ์แบบ แต่ก็มีจุดที่เวอร์ชันซีรีส์เลือกที่จะฉีกออกไปจากวิดีโอเกมเวอร์ชันต้นตำรับหลายอย่างเหมือนกัน ซึ่งจะต่างกันตรงไหนบ้างนั้น เรามาชำแหละดูไปพร้อมกันดีกว่า
หมายเหตุ: บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาของซีรีส์ The Last of Us พอสมควร อาจไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ยังไม่ได้ดูซีรีส์
1. ตัวละครหลักบางตัวดูเป็นคนละคน
ถ้าใครเคยเล่นเกม The Last of Us มาก่อน หรือเคยดูตาเอกสตรีมเกมคงจะเอ๊ะขึ้นมาทันทีว่าตัวในเกมมันไม่ได้หน้าตาแบบนี้นี่นา ซึ่งหลักๆ แล้วตัวละครที่ต่างที่สุดในตอนนี้ก็คงเป็นน้องซาราห์ ลูกสาวแท้ๆ ของโจล ที่ในเกมใช้หน้าของน้อง Hana Hayes ส่วนในทีวีเปลี่ยนเป็นตัวละครผิวสีและใช้น้อง Nico Parker มาแสดงแทน เช่นเดียวกับตัวละครของเทส ที่ในเกมเป็นสาวแกร่งผมดำ ซึ่งใช้คุณ Annie Wersching เป็นต้นแบบ ส่วนในเวอร์ชันซีรีส์เป็นสาวกร้านผมทอง ที่ได้คุณ Anna Torv มาสวมบทบาท
...
ด้านน้องนางเอกปากแจ๋วอย่างเอลลี่ ถือว่าต่างจากเดิมไม่ค่อยมาก เพียงแค่ในเวอร์ชันเกมจะดูเด็กกว่า ทั้งที่คนพากย์และคนแสดงในเกมคือ Ashley Johnson ซึ่งเธอแก่กว่าน้อง Bella Ramsy ที่รับบทเอลลี่ในเวอร์ชันทีวีตั้งเยอะ ส่วนตัวละครในซีรีส์ที่หน้าเหมือนในเกมที่สุดคงไม่พ้นมาร์ลีน เพราะใช้นักแสดง Merle Dandridge ซึ่งเป็นคนเดียวกับในเกมเลย แต่ถึงหน้านักแสดงระหว่างเวอร์ชันเกมกับทีวีจะต่างกันไปบ้าง แต่แฟนๆ ไม่ต้องกังวลไป เพราะลักษณะนิสัยของตัวละครทุกตัวยังคงตรงตามเวอร์ชันต้นฉบับแบบเกือบจะ 100%
2. พลังสยองของเชื้อราคนละสไตล์
ซอมบี้ใน The Last of Us ค่อนข้างแตกต่างจากซอมบี้ในเรื่องอื่นๆ อยู่แล้ว แทนที่จะเป็นศพเดินดิน มันกลับเป็นคนที่โดนเชื้อรา Cordyceps ควบคุมร่างกาย แต่รู้ไหมว่าซอมบี้เวอร์ชันเกมกับทีวีก็ไม่ได้เหมือนกันซะทีเดียวด้วย โดยเหล่าเชื้อราในเกมจะสามารถปล่อยสปอร์ในอากาศ ทำให้ตัวละครต้องหยิบหน้ากากกันแก๊สออกมาสวมอยู่บ่อยๆ และหากหน้ากากแตกเมื่อไหร่ก็ต้องกลั้นหายใจแล้วรีบวิ่งออกมาจากบริเวณนั้น นอกจากนี้ ก็มีซอมบี้บางแบบที่สามารถปาสปอร์ใส่ตัวเอกโดยตรงได้อีก และถ้าซอมบี้แบบ Clicker ในเกม (ตัวที่หน้าเป็นเห็ดหลินจือไปแล้ว) วิ่งประชิดตัวโจล ที่ไม่ได้พกมีดเอาไว้เมื่อไร พระเอกของเราได้ตายโหงสถานเดียว
ส่วนเหล่าซอมบี้เห็ดในเวอร์ชันทีวีซีรีส์จะได้พลังพิเศษอย่างการสื่อสารทางไกลผ่านเครือข่ายเชื้อราบนพื้นแทนการปล่อยสปอร์ เนื่องจากทีมผู้กำกับมองว่าการให้นักแสดงต้องสวมหน้ากากตลอดเวลาดูไม่เข้าท่าเท่าไหร่ นอกจากนี้ มันยังทำให้การจัดการผู้ติดเชื้อสักรายในเรื่องดูอันตรายมากขึ้นกว่าเดิม เพราะอาจเรียกฝูงผองเพื่อนที่อยู่อีกฟากของเมืองมาร่วมกันลงแขกได้ อีกจุดที่ต่างก็คือ ในเกมแทบไม่ได้มีการบอกถึงความเป็นมาเลยว่าเชื้อรา Cordyceps มาจากไหน แพร่ระบาดไปทั่วโลกได้อย่างไร แต่ในซีรีส์จะใช้วิธีอธิบายความเป็นมาอย่างค่อนข้างชัดเจนและเลือดเย็น ซึ่งข้อดีก็คือมันทำให้ซีรีส์กลายเป็นส่วนเติมเต็มเนื้อหาของเกม The Last of Us ได้เป็นอย่างดี
...
3. ในเกมนี่ซัดกันแหลก ในซีรีส์ก็ดราม่ากันรัว
แน่นอนว่าพอเป็นวิดีโอเกม ทีมสร้างเขาก็ต้องใส่ฉากแอ็กชั่นเข้ามาให้ผู้เล่นเยอะๆ อยู่แล้ว (ไม่งั้นจะให้เกมเมอร์ทำอะไรล่ะ) ซึ่ง The Last of Us เวอร์ชันเกมนอกจากจะมีเหตุการณ์ยิงสู้โจร ทหาร ซอมบี้ ฯลฯ สอดแทรกตลอดหลังจบทุกดราม่า นอกจากนี้ ในเกมยังเน้นฉากการต่อสู้แบบประชิดตัวมากกว่าในเวอร์ชันทีวีซีรีส์มากๆ เรียกได้ว่าน้องอิฐบล็อกกับท่อแป๊บนี่เป็นลูกรักของโจลไม่แพ้น้องเอลลี่เลย
...
ในขณะที่เวอร์ชันซีรีส์จะหันไปให้ความสำคัญกับฉากดราม่าระหว่างตัวละคร ซึ่งก็ถือว่าทีมพัฒนาคิดถูกแล้วเพราะมันเข้ากับการนำเสนอในแบบซีรีส์คนแสดงมากกว่า และยังทำให้เราเข้าใจปูมหลังของตัวละครในเรื่องแต่ละตัวได้ดีขึ้น ส่วนฉากแอ็กชั่นถึงได้รับการใส่มาในสัดส่วนที่น้อยกว่ามากแต่ก็ทำได้ดีพอควร โดยเฉพาะตอนที่ตัวเอกยิงซอมบี้ไม่ค่อยโดนแล้วต้องวิ่งหนีวนๆ นี่เหมือนกับตอนเล่นเกมเป๊ะ สิ่งที่ยังค่อนข้างขาดคือฉากที่แสดงให้เห็นถึงด้านมืดของมนุษย์ ทำให้เราเห็นว่าคนในโลกแห่งนี้น่ากลัวกว่าซอมบี้มากแค่ไหน ซึ่งคาดว่าอีกไม่นานเราคงจะได้เห็นกับแบบจะจะในตอนที่เหลือของซีซั่น 1 แน่นอน
4. เหตุการณ์สำคัญในเรื่องที่เปลี่ยนไป
อันที่จริง The Last of Us เวอร์ชันทีวีเดินเรื่องค่อนข้างตรงกับเกมเวอร์ชันต้นฉบับมากๆ อย่างไรก็ตาม หลังจากจบตอน 1 ก็มีเหตุการณ์สำคัญหลายอย่างที่แตกต่างไปเหมือนกัน จุดแรกคือช่วงที่ตัวเอกทั้ง 3 คนแอบลอบออกมาจากเขตกักกันบอสตันช่วงกลางคืนแล้วไปจ๊ะเอ๋กับเจ้าหน้าที่เฟรดา ที่ในเวอร์ชันซีรีส์โจลและเทสจะพาเอลลี่ หนีไปหาที่หลบค้างคืนก่อนจะเดินทางกันต่อในตอนเช้า แต่ในเกมทั้ง 3 ต้องย่องผ่านหน่วยลาดตระเวนเฟรดาแล้วหนีเข้าไปในซากตึกแฝดกันตอนกลางคืน จากนั้นก็ต้องฝ่าทั้งฝูงคนติดเชื้อและ Clicker ที่ป้วนเปี้ยนกันเต็มตึก จุดต่างจุดที่ 2 คือเหตุการณ์ที่เทสยอมสละชีวิตหลังจากที่โดนผู้ติดเชื้อกัด ซึ่งในเกมเทสจะยิงต้านกองกำลังเฟรดาอยู่ในอาคารทำเนียบ เพื่อให้โจลและเอลลี่ย่องหนีออกไปทางประตูหลัง แต่ในเวอร์ชันทีวีซีรีส์ เทสจะยอมระเบิดตัวตายไปพร้อมกับฝูงผู้ติดเชื้อที่วิ่งตามพวกเขาเข้ามาในทำเนียบแทน
...
สำหรับจุดต่างที่ 3 ซึ่งเป็นจุดที่เวอร์ชันทีวีฉีกไปจากเกมมากที่สุดก็คือเรื่องราวของบิล โดยในเกมโจลและเอลลี่จะเดินทางมาถึงเมืองเล็กๆ ในลินคอร์นที่เต็มไปด้วยซากปรักหักพัง ผู้ติดเชื้อ และกับดักสารพัดชนิด และได้เจอกับบิลซึ่งยังอาศัยอยู่ในเมืองนี้เพียงคนเดียว จากนั้นทั้ง 3 ต้องผจญภัยไปด้วยกันเพื่อตามหาแบตเตอรี่รถยนต์ ในตอนท้ายบิลจะได้พบศพของแฟรงค์ที่ฆ่าตัวตายอยู่ที่อีกด้านหนึ่งของเมือง ซึ่งเราจะได้รู้จากจดหมายว่าทั้งสองจบกันอย่างไม่สวยเท่าไร หลังจากนั้นบิลก็จะส่งให้โจลและเอลลี่เดินทางไปตามทาง ส่วนเขาก็กลับไปใช้ชีวิตคนเดียวในเมืองแห่งนี้เช่นเดิม เรียกได้ว่าแทบจะตรงกันข้ามกับเรื่องราวในตอน 3 ของซีรีส์ ที่ทั้งบิลและแฟรงค์ได้ใช้ชีวิตร่วมกันอยู่ในเมืองแค่สองคนนานเกือบ 20 ปี จนเกิดเป็นรักแท้ และสุดท้ายทั้งคู่ตัดสินใจจบชีวิตร่วมกันก่อนที่โจลและเอลลี่จะเดินทางมาถึง ซึ่งถือว่าเป็นการเล่าเรื่องสั้นบทใหม่ที่ทรงพลังกว่าของเดิมมาก แถมมันยังไม่ได้ทำให้เส้นเรื่องหลักของ The Last of Us เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเลยด้วย
ภาพจาก: steam.com, imdb.com, naughtydog.com