เปิดประวัติ สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีของสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นผู้นำที่ทรงอิทธิพลที่สุดรองจากเหมา เจ๋อตุง
สี จิ้นผิง เกิดเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2496 เป็นลูกชายของ สี จงชุน อดีตรองนายกรัฐมนตรีจีน ผู้ซึ่งเป็นคนใกล้ชิดของประธานาธิบดี เหมา เจ๋อตุง แต่ชีวิตในวัยเด็กของสี จิ้นผิง กลับพบความยากลำบากเนื่องจากช่วงก่อนการปฏิวัติวัฒนธรรมไม่นาน พ่อของเขาถูกปรับลดตำแหน่งลงเป็นเพียงกรรมกร เพราะเป็นผู้อนุมัติให้มีการตีพิมพ์หนังสือที่วิจารณ์ประธานเหมา ตั้งแต่นั้นมาก็ทำให้ครอบครัวสีพบกับความทุกข์ยาก รวมทั้งยังทำให้เขาถูกกลั่นแกล้งในวัยเรียนอยู่เสมอ โดยสี จิ้นผิงกลายเป็นหนึ่งใน 29,000 ปัญญาชนชุดแรกที่ถูกกวาดต้อนไปเข้ารับการศึกษา ใช้ชีวิตเรียนรู้การทำไร่ทำนาและปศุสัตว์ อาศัยอยู่ในถ้ำที่เหลียงเจียเหอ หมู่บ้านเล็กๆ ทางเหนือของมณฑลชานซีในปี 2512
อย่างไรก็ตาม สี จิ้นผิง ก็มีความมุ่งมั่นที่จะเป็นสมาชิกของพรรคคอมมิวนิสต์จีนมาก เขาได้เขียนจดหมายสมัครเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งแล้วครั้งเล่า และมักจะถูกปฏิเสธมาตลอด แต่หลังจากความพยายามหลายครั้ง เขาก็ได้เป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์สมใจ
หลังจากการอสัญกรรมของอดีตประธานาธิบดีเหมา เจ๋อตุง พ่อของสี จิ้นผิง ก็กลับมามีภาพลักษณ์ที่ดีขึ้น สี จิ้นผิง จึงได้กลับมาศึกษาต่อจนกระทั่งสำเร็จการศึกษาด้านเคมีจากมหาวิทยาลัยชิงหวา และเริ่มมีสายสัมพันธ์กับบุคคลในกองทัพ หลังจากนั้น เขาทำงานรับใช้พรรคที่มณฑลเหอเป่ย ในฐานะผู้เชี่ยวชาญในการผสมพันธุ์สุกร
ต่อมา สี จิ้นผิง เป็นผู้เริ่มพัฒนาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับไต้หวัน จนได้ตำแหน่งเป็นรักษาการเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ สาขาเซี่ยงไฮ้ ในระหว่าง 7 เดือนที่รักษาการ เขาพัฒนาความสัมพันธ์ กับ เจียง เจ๋อหมิน อดีตเลขาธิการพรรคและแกนนำคนสำคัญของกลุ่มผู้นำรุ่นที่ 3 ของจีน
...
จากนั้น สี จิ้นผิง ขึ้นดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนและประธานคณะกรรมาธิการการทหารส่วนกลางแห่งพรรคคอมมิวนิสต์ หลังจากการประชุมใหญ่ครั้งที่ 18 ในเดือน พฤศจิกายน 2555 และขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีและประธานคณะกรรมาธิการการทหารส่วนกลางแห่งสาธารณรัฐในเดือนมีนาคม 2556
โดย 5 ปีแรกของวาระประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ที่ผ่านมาเศรษฐกิจจีนมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ GDP เพิ่มขึ้นจาก 8.4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (53 ล้านล้านหยวน) ในปี 2555 เป็น 11.4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (72 ล้านล้านหยวน) ในปี 2559 และคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นถึง 17.7 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (125 ล้านล้านหยวน) ในปี 2564 ทำให้โครงสร้างทางเศรษฐกิจของจีนได้เปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม มีอุตสาหกรรมเกิดใหม่ที่สำคัญหลายอย่าง ได้แก่ เศรษฐกิจดิจิทัล เทคโนโลยีด้านคมนาคมขนส่ง เช่น รถไฟความเร็วสูง โดรนขนส่งสินค้า และรถยนต์ไฟฟ้า เป็นต้น นอกจากนี้ ผลประกอบการด้านการลงทุนร่วมกับต่างชาติของจีนก็มีการเติบโตอย่างมาก โดยเฉพาะโครงการ Belt and Road Initiatives (BRI) และโครงการช่วยเหลือคนยากจนในจีนก็ประสบความสำเร็จ ทำให้ประชากรกว่า 6 ล้านคนหลุดพ้นจากความยากจน รวมถึงการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันและการปรับโครงสร้างการบริหารพรรคคอมมิวนิสต์
สำหรับการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของสาธารณรัฐประชาชนจีนในวาระที่ 2 ของ สี จิ้นผิง นั้นเขาให้ความสำคัญกับการเปิดประเทศและการพัฒนาอย่างมีคุณภาพ เน้นการพัฒนาชนบทเพื่อมุ่งสู่การเป็นประเทศทรงอิทธิพลภายในปี 2593 โดยมุ่งเน้น 3 เป้าหมายหลัก คือ
- เดินหน้าเปิดประเทศ ส่งเสริมให้มีการแข่งขันอย่างเสมอภาค เพื่อเตรียมปรับแก้กฎหมายกีดกันทางการค้า สนับสนุนการพัฒนาของบริษัทเอกชน และผ่อนคลายมาตรการการเข้าตลาดของธุรกิจและการบริการ
- Belt and Road Initiatives (BRI) เมกะโปรเจกต์ส่งเสริมการเปิดประเทศ และความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนกับต่างชาติ
- เน้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างมีคุณภาพทั่วถึงเท่าเทียมกัน ทั้งในเมืองและชนบทเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของชาวจีนทั้งประเทศ
ด้านชีวิตส่วนตัว สี จิ้นผิง แต่งงานครั้งแรกกับ เค่อ หลิงหลิง ลูกสาวของเค่อ หัว อดีตเอกอัครราชทูตจีนประจำอังกฤษ ก่อนที่ทั้งคู่แยกทางกันหลังจากแต่งงานเพียงไม่กี่ปี จากนั้นในปี 2530 เขาได้แต่งงานใหม่กับ เผิง ลี่หยวน ซึ่งเป็นนักร้องเพลงพื้นบ้านที่มีชื่อเสียงในจีน หลังจากที่สี จิ้นผิง ได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการ ภรรยาของเขาก็เริ่มมีบทบาทในด้านการเจริญสัมพันธไมตรีกับต่างประเทศ ในฐานะที่เธอเป็นสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของจีน ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่ภริยาผู้นำสูงสุดออกมามีบทบาทต่อสาธารณชน ทั้งคู่มีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคน ชื่อว่า สี หมิงเจ๋อ ซึ่งจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ในฤดูใบไม้ผลิปี 2558 ขณะที่เรียนเธอใช้นามแฝง โดยศึกษาทางด้านจิตวิทยาและภาษาอังกฤษ
อ้างอิงข้อมูล: ศูนย์การเรียนรู้อาเซียน กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น