ใครที่ชอบติดตามสื่อป๊อปคัลเจอร์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นหนัง ทีวี ซีรีส์ อนิเมะ ฯลฯ คงจะรู้ดีว่าเมื่อใดที่มีสื่อบันเทิงเลือกที่จะดัดแปลงมาจาก "เกม" ชื่อดัง เมื่อนั้นความหายนะก็มักจะบังเกิด (ต้องขอบคุณภาพยนตร์ชุดคุณภาพอย่าง Resident Evil, DOOM และ MORTAL KOMBAT...) แต่นานๆ ครั้ง ชาวเราก็อาจได้เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์กันบ้าง เมื่อมีภาพยนตร์หรือแอนิเมชันที่เจอจุดสมดุลระหว่างการเล่าเรื่องราวที่สนุกแปลกใหม่ และการเคารพฐานแฟนเกมดั้งเดิม ตัวอย่างที่ดีก็คือซีรีส์แอนิเมชันเรื่อง ARCANE ในปีที่แล้วบน Netflix ซึ่งดัดแปลงจากเกม League of Legends และคว้ารางวัล Emmy ไปได้ถึง 4 รางวัล

ข่าวใหญ่ก็คือดูเหมือนปีนี้เราจะได้เห็นปาฏิหาริย์ในระดับวงการกันอีกครั้ง เมื่อ Netflix กับ Studio Trigger เขาปล่อยซีรีส์การ์ตูนอนิเมะเรื่องใหม่ถอดด้าม ในนามว่า Cyberpunk: Edgerunners ออกมาให้รับชม อนิเมะจากเกมชื่อกระฉ่อนที่โดนรุมด่าเละเทะมากที่สุดในปี 2020 ซึ่งดูเหมือนครั้งนี้ประวัติศาสตร์จะไม่ซ้ำรอยกับตัวเกม Cyberpunk 2077 เพราะอนิเมะเรื่องนี้เก็บงานออกมาได้เนี้ยบจนแทบไร้ที่ติ ที่สำคัญมันยังมีเนื้อเรื่องที่สนุกน่าติดตามจนเผลอๆ อาจจะสนุกกว่าเรื่องราวในเกมด้วยซ้ำไป!

...

สวยสุด มันสุด ดาร์กสุด แบบไม่เกรงใจใคร

จริงอยู่ที่ว่าเนื้อเรื่องในเกม Cybrrpunk 2077 จะค่อนข้างสนุก น่าติดตาม และเป็นจุดเด่นที่สุดในเกมนี้ที่คนส่วนใหญ่ด่าไม่ค่อยลง แต่มันจะเน้นไปที่เรื่องราวแนวทฤษฎีสมคบคิดขององค์กรขนาดยักษ์ และคอนเซปต์ไซไฟหนักๆ ซะมากกว่า ในทางกลับกัน เนื้อเรื่องของอนิเมะ Edgerunners กลับเลือกที่จะนำเสนอเรื่องราวชีวิตของตัวเอกวัยรุ่นชนชั้นล่าง "David Martinez" ชายหนุ่มผู้โดนความโหดร้ายของสังคมทุนนิยมสุดโต่งบีบบังคับให้ต้องก้าวเข้าสู่เส้นทางอาชญากรรม ที่ซึ่งเขาได้พบกับครอบครัวใหม่ในแก๊งจารชน

นอกจากนี้ ซีรีส์ยังเน้นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างตัวเขากับสมาชิกคนอื่นๆ ในแก๊งที่ต่างก็มีบุคลิกที่น่าสนใจ และทุกคนต่างก็มีความฝันที่ทำให้พวกเขาต้องดิ้นรนในวิถีชีวิตที่แตกต่างกันไป องค์ประกอบของเรื่องเหล่านี้ทำให้เรารู้สึกอินไปกับตัวละครในอนิเมะได้ง่ายกว่า และมันยิ่งทำให้เหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในเรื่องบีบคั้นหัวใจคนดูยิ่งกว่า ขอเตือนเลยว่าใครที่ใจไม่แข็งแรงอาจจะรู้สึกเหมือนโดนตุ๊ยท้องจุกๆ เมื่อได้เห็นฉากดาร์กหรือฉากเศร้าที่แฝงอยู่ในเรื่องนี้ หากเปรียบเทียบง่ายๆ อนิเมะ Edgerunners จะให้อารมณ์เหมือนเรากำลังนั่งดูหนังอาชญากรรมผสมกับแนวแก๊งสเตอร์ ส่วนเกม Cyberpunk 2077 จะออกไปในแนวหนังไซไฟแอ็กชันที่มีกลิ่นอายของฟิล์มนัวร์ซะมากกว่า

จุดเด่นเรื่องที่สองซึ่งเป็นรองจากเนื้อเรื่องของอนิเมะ Edgerunners แค่นิดเดียว ก็คืองานโปรดักชันในเรื่องที่เขาจัดหนักจัดเต็มแบบไม่มีเหนียม งานภาพก็สวย งานเพลงก็เพราะ ดนตรีประกอบแต่ละซีนก็เข้ากับอารมณ์ได้ดี เห็นชัดเลยว่านี่เป็นอนิเมะที่ทำออกมาอย่างประณีตและทุนหนา จนแทบไม่มีฉากงานเผาหลุดออกมาให้เห็น ที่น่าทึ่งคือโลกในอนิเมะทำออกมาได้ฟีลเดียวกับโลกของเกมของ Cyberpunk 2077 แบบกลืนกันเป็นเนื้อเดียว ไม่ต้องกลัวว่านคร Night City ในเรื่องจะเปลี่ยนไปจนแทบจำไม่ได้แบบในหนังที่ทำจากเกมเรื่องอื่นๆ เนื่องจากทีม Studio Trigger เขารู้จักคารวะของดีที่มีอยู่แล้ว (ถึงขนาดที่ว่างานดีไซน์ส่วนใหญ่ของอาวุธ ยานพาหนะ หรือบ้านช่องในการ์ตูนยังเหมือนของที่เห็นในเกมกันเด๊ะๆ) และยังมี Easter Egg จากในเกมที่พวกเขาเลือกหยิบมาใส่ในการ์ตูนได้อย่างเนียนๆ ดูแล้วไม่ได้รู้สึกยัดเยียด แต่กลับรู้สึกสนุกเมื่อได้เห็นไอเทมหรือตัวละครที่เราคุ้นเคยโผล่มาในการ์ตูนด้วย

...

เหยียบมิดสุดทางเกินไปก็ต้องมีแหกโค้งกันบ้าง

อย่างไรก็ตาม จุดที่เป็นเหมือนดาบสองคมของ Edgerunners ก็คือมันสร้างมาเพื่อแฟนๆ กลุ่มผู้ใหญ่โดยเฉพาะ ถึงมันจะเป็นหนังการ์ตูนแต่มันไม่ใช่การ์ตูนที่เด็กน้อยควรดูอย่างเด็ดขาด เพราะอนิเมะเรื่องนี้ไปสุดทางมาก ฉากด่าหยาบคาย ฉากเลือดสาด และฉากโป๊เปลือยนี่มีให้เห็นแบบเกลื่อนกลาด ซึ่งก็ถือว่าไม่ได้หลุดจากโทนของเกม Cyberpunk แต่บางคนที่ไม่ค่อยชินกับอะไรแบบนี้ก็อาจจะเอียนได้ เพราะบางซีนนี่มีทั้งเลือด ตับ ไต ไส้พุงกระจายทั่วจอ เช่นเดียวกับเอฟเฟกต์แสงสีนีออนและฉากยิงกันแบบระเบิดเถิดเทิง ที่ช่วงหลังมันเริ่มมีของเยอะล้นจอจนคนดูอาจเมาได้

อีกเรื่องก็คือ Edgerunner เดินเรื่องด้วยความเร็วพอๆ กับเด็กแว้นที่ซิ่งแมงกะไซค์บนไฮเวย์ สำหรับคนที่ไม่ได้มีเวลาว่างในชีวิตมากนัก หรือขี้เกียจนั่งดูซีรีส์เรื่องใดเรื่องหนึ่งนานเกินไป อนิเมะที่มีความยาวแค่ 10 ตอน ตอนละครึ่งชั่วโมงก็ถือว่าเป็นขนาดที่พอดีคำดี เนื้อเรื่องถือว่ากระชับ รวบรัดตัดความแบบไปต่อไม่รอแล้วนะ และยังแทบไม่มีซีนไร้สาระเลยด้วย แต่เนื่องจาก Edgerunners มีประเด็นที่อยากเล่าค่อนข้างเยอะ ตัวละครสำคัญก็มีเพียบ เลยทำให้ตัวละครบางตัวอาจไม่มีบทนานพอที่จะทำให้เรารู้สึกผูกพัน จะรักก็รักไม่สุด จะเกลียดก็เกลียดไม่สุด บางทีถ้าอนิเมะเรื่องนี้ยาวขึ้นอีกนิดสัก 2-3 ตอน แล้วขยายเรื่องราวให้ตัวละครหลักและตัวร้ายบางตัวมีความลุ่มลึกขึ้น ก็อาจจะช่วยให้เนื้อเรื่องสมบูรณ์แบบกว่านี้ได้ และยังจะช่วยให้ฉากกระแทกอารมณ์โดนใจคนดูยิ่งกว่าเดิมด้วย

...

นอกจากนี้ ถึงแม้การอัดศัพท์เฉพาะสำหรับสายไซไฟมาเยอะแยะในอนิเมะจะช่วยให้เราเข้าใจฟีลโลกของไซเบอร์พังก์ แต่หลายครั้งบทพูดมันรัวคำแปลกๆ ออกมาติดกันขนาดนั้นก็อาจจับใจความสำคัญไม่ทันได้ ทั้งคำว่า Chrome, Runner, ICE, RipperDoc ฯลฯ สำหรับใครที่เคยเล่นเกมมาก่อนก็คงไม่เป็นปัญหาเท่าไร แต่ใครไม่คุ้นกับโลกของ Cyberpunk นี่มีงงชัวร์

นั่นแหละคือจุดติทั้งหมดที่พอจะขุดมาได้สำหรับอนิเมะเรื่องนี้ ประมาณว่าถ้าเอาให้มากกว่านี้ก็จะเริ่มกลายเป็นการจับผิดจากรสนิยมส่วนตัวแทนแล้ว เพราะความสนุกที่ได้จากการนั่งดู Edgerunners มันท่วมท้นจนทะลุเรื่องติดขัดเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ไปมากโข นี่คือการ์ตูนที่สายอนิเมะไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง แฟนเกมยิ่งห้ามพลาดเข้าไปใหญ่ (การรันตีด้วยสายตาเกมเมอร์ที่ดันเกม Cyberpunk 2077 จบไป 2 รอบครึ่งและกดซื้ออีกรอบหลังจากดูอนิเมะจบ) ส่วนคนทั่วไปก็ยังนั่งดูเอามันได้แบบไม่เสียหาย อนิเมะเรื่องนี้คือสิ่งมหัศจรรย์ที่นานๆ จะเกิดขึ้นสักทีสำหรับเรื่องราวจากเกมที่ดัดแปลงมาสู่จอแก้ว ก็ได้แต่หวังว่าสตูดิโอเจ้าอื่นจะดูไว้เป็นเยี่ยงอย่างแล้วพากันทำแบบนี้ต่อไปนะครับ

...

ขอบคุณภาพ : Cyberpunk, Netflix, IMDB