ในยุคปัจจุบันที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสหรือโรคภัยต่างๆ ทำให้หลายคนหันมาดูแลสุขภาพตนเองกันมากขึ้น นอกจากการออกกำลังกายและการนอนหลับพักผ่อนแล้ว การกินอาหารเสริมอย่าง “น้ำมันปลา” (Fish Oil) ยังมีส่วนช่วยบำรุงสมองและมีประโยชน์ต่อร่างกายเป็นอย่างมาก แต่จะกินอย่างไรให้ร่างกายได้รับประโยชน์น้ำมันปลามากที่สุด บทความนี้ไทยรัฐออนไลน์รวบรวมข้อมูลมาเพื่อคลายข้อสงสัยแล้ว
น้ำมันปลา คืออะไร?
น้ำมันปลา คือ น้ำมันที่ได้จากการสกัดจากส่วนต่างๆ ของปลา เช่น ไขมัน เนื้อ หนัง เนื้อเยื่อ โดยในน้ำมันปลานั้นจะประกอบไปด้วยสารอาหารและวิตามินหลายๆ ชนิดที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น กรดโดโคซาเฮกซะอีโนอิก (Docosahexaenoic Acid) หรือ DHA กรดอีโคซะเพนตะอีโนอิก (Eicosapentaenoic Acid) หรือ EPA เป็นต้น
น้ำมันปลา ช่วยอะไรบ้าง?
น้ำมันปลามีประโยชน์ต่อร่างกายหลายๆ ด้าน เนื่องจากสกัดมาจากแหล่งธรรมชาติและอุดมไปด้วยกรดต่างๆ และวิตามินที่ดี ดังจะเห็นได้จาก 10 ประโยชน์น้ำมันปลา ดังนี้
1. น้ำมันปลามีประโยชน์ช่วยบำรุงสมอง ให้มีความจำที่ดีขึ้น
2. น้ำมันปลาช่วยป้องกันโรคความจำเสื่อม เนื่องจากกรด DHA จะเข้าไปทำหน้าที่ลดการสร้างเส้นใยในสมอง ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคความจำเสื่อม
3. น้ำมันปลาช่วยลดน้ำหนักได้ แต่อย่างไรก็ต้องออกกำลังกายและกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพควบคู่ไปด้วย
4. น้ำมันปลาช่วยลดการอักเสบหรือการอักเสบของกระดูกได้เป็นอย่างดี เนื่องจากน้ำมันปลามีส่วนช่วยในการลดการผลิตสารและยีนที่หลั่งสารไซโตไคน์
...
5. น้ำมันปลาช่วยลดความเสี่ยงเกี่ยวกับโรคหัวใจและหลอดเลือด เนื่องจากมีส่วนช่วยให้หลอดเลือดขยายตัว
6. น้ำมันปลาช่วยลดไขมันไตรกลีเซอไรด์ได้มากถึง 20-25% โดยไม่มีผลข้างเคียง
7. น้ำมันปลาช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นเบาหวาน เนื่องจากมีกรด EPA ที่ทำหน้าที่ควบคุมระดับน้ำตาลในร่างกายได้เป็นอย่างดี
8. น้ำมันปลาช่วยลดอาการปวดหัวไมเกรน เนื่องจากประโยชน์ข้อสำคัญของน้ำมันปลาคือ ช่วยทำให้หลอดเลือดขยาย ระบบหมุนเวียนโลหิตทำงานได้ดี อีกทั้งยังช่วยลดสารเซโรโทนินและโพรสตาแกลนดิน
9. น้ำมันปลาช่วยรักษาภาวะซึมเศร้าหรืออาการทางจิต เนื่องจากกรดไขมันโอเมก้า 3 นั้นส่งผลต่อการทำงานของสมองและการผลิตสารต่างๆ
10. น้ำมันปลาช่วยลดความดันโลหิตสูง ทำให้หลอดเลือดขยายตัว ซึ่งจะส่งผลให้ระบบไหลเวียนโลหิตทำงานได้ดีขึ้น
3 ข้อห้ามที่ควรรู้ น้ำมันปลาไม่ควรกินคู่กับอะไร?
แม้ว่าการกินน้ำมันปลาจะมีประโยชน์และมีสรรพคุณที่ดีต่อสุขภาพ แต่เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด ก็ไม่ควรกินคู่กับอาหารดังต่อไปนี้ เนื่องจากจะส่งผลเสียต่อร่างกายแทน
1. น้ำมันปลาไม่ควรกินคู่กับยาต้านการแข็งตัวของเลือด
แอสไพริน, วาร์ฟาริน หรือโคลพิโดเกล จัดว่าเป็นยากลุ่มต้านการแข็งตัวของเลือด มีสรรพคุณในการป้องกันโรคเกี่ยวกับเลือดต่างๆ ช่วยทำให้เลือดใส ไม่จับตัวเป็นก้อน เช่นเดียวกับน้ำมันปลา ที่มีสรรพคุณคือ ช่วยทำให้เลือดใส ไม่เข้มข้นจนเกินไป และยับยั้งการแข็งตัวของเลือด แน่นอนว่าเมื่อกินพร้อมกันอาจส่งผลให้เลือดในร่างกายนั้นแข็งตัวช้า ตลอดจนเสี่ยงต่อการเลือดออกและไหลหยุดช้าด้วยเช่นกัน
2. น้ำมันปลาไม่ควรกินคู่กับอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง
แม้ว่าน้ำมันปลาจะอยู่ในรูปแบบของแคปซูลเม็ดเล็กที่ร่างกายควรได้รับประมาณ 3,000 มิลลิกรัม/วัน แต่หากกินน้ำมันปลาในปริมาณที่มากเกินไป ส่งผลให้ร่างกายได้รับแคลอรีสูง ซึ่งจะส่งผลให้ระดับคอเลสเตอรอลเพิ่มสูงตามไปด้วย ดังนั้น ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูงจะดีกว่า
3. ผู้ที่มีอาการแพ้ไม่ควรกินน้ำมันปลา
ผู้ที่แพ้อาหารทะเลหรือแพ้ปลาไม่ควรกินน้ำมันปลา เพราะอาจจะให้โทษแทนประโยชน์ได้ โดยผู้แพ้บางรายมีอาการปวดหัว อาเจียน คลื่นไส้ ปวดท้อง ตลอดจนอาการท้องเสีย
...
น้ำมันปลา กินตอนไหนดี?
โดยปกติแล้ว ร่างกายจะดูดซึมสารอาหารได้ดีที่สุดในช่วงเวลา 12.00 - 20.00 น. โดยเฉพาะขณะที่กินอาหารหรือหลังจากกินอาหารเข้าไปแล้ว ดังนั้น หากจะให้ร่างกายได้รับประโยชน์สูงสุดจึงควรกินน้ำมันปลาระหว่างมื้ออาหารหรือหลังจากมื้ออาหาร ภายในระยะเวลาไม่เกิน 30 นาที
ประโยชน์น้ำมันปลานั้นมีหลากหลายด้าน ทำให้น้ำมันปลากลายเป็นอาหารเสริมที่ได้รับความนิยมในคนทุกเพศทุกวัย แต่ทั้งนี้จะต้องกินน้ำมันปลาในปริมาณที่พอดีและในเวลาที่เหมาะสม จึงจะทำให้ร่างกายได้รับประโยชน์สูงสุด
อย่างไรก็ตาม หากพบว่าตนเองที่มีโรคประจำตัว เคยแพ้ยาหรือน้ำมันปลา หรือมีอาการแทรกซ้อนต่างๆ ก็ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ