หากจะมีสักหนึ่งประโยคที่ทำให้รู้สึกได้ถึงความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าในการจะพาองค์กรไปสู่จุดสูงสุด เราต้องขอยกให้กับคำกล่าวของ "คุณดิว อินทปัญญา” CEO แห่ง MBCS Thailand (Mediabrands Contents Studio) ที่เอ่ยไว้อย่างน่าสนใจว่า “เราจะเป็น Game Changer ของวงการคอนเทนต์เอเจนซี”

สำหรับวงการเอเจนซี หลายๆ คนอาจทราบดีว่าพื้นที่แห่งนี้คือสมรภูมิสุดดุเดือดที่มีผู้ร่วมแข่งขันมหาศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการเติบโตถึงขีดสุดของดิจิทัลมีเดีย ก็ยิ่งทำให้มีเอเจนซีเฮาส์เปิดตัวขึ้นมากมายในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซึ่งการเฟื่องฟูของวงการก็มาพร้อมกับความซับซ้อนของโจทย์จากลูกค้าที่ล้วนต้องการแคมเปญที่เห็นผลมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงต้องรับมือกับเทรนด์ต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วจนยากจะตามให้ทัน ด้วยเหตุนี้การจะโดดเด่นจนเป็น “ผู้เปลี่ยนเกม” ของวงการสื่อสารการตลาดจึงไม่ใช่เรื่องง่าย อย่างไรก็ตาม หลังจากเรามีโอกาสพูดคุยกับทีมผู้บริหารของ MBCS Thailand ซึ่งนำโดยคุณดิว เราก็สัมผัสได้ถึง “ความเป็นไปได้”

อะไรที่ทำให้เรารู้สึกเช่นนั้น? ไทยรัฐออนไลน์ชวนทุกท่านมาไขคำตอบพร้อมกันในบทสัมภาษณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟ กับเรื่องราวหลากแง่มุมหลังการรีแบรนด์ครั้งสำคัญของ “Ensemble Thailand” สู่เส้นทางใหม่ภายใต้ชื่อ “MBCS Thailand” ที่พร้อมจะก้าวไปให้ไกลยิ่งกว่าเคย

จากประสบการณ์ 20 ปี ตกผลึกเป็นคอนเทนต์เอเจนซีแห่งความเชี่ยวชาญ

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าข่าวการรีแบรนด์ของ Ensemble สู่ MBCS Thailand นั้น เป็นเรื่องราวที่น่าจับตาอย่างยิ่ง เพราะการขยับตัวครั้งนี้ของ IPG Mediabrands Thailand ซึ่งเป็นบริษัทแม่ นับเป็นการเคลื่อนไหวที่พร้อมจะส่งสัญญาณให้ทั้งวงการรับรู้ว่ายักษ์ใหญ่แห่งวงการสื่อสารการตลาดระดับโลก พร้อมแล้วจะทะยานไปอีกขั้นด้วยอาวุธใหม่อย่างคอนเทนต์สตูดิโอของตนเองที่จะได้รับการสนับสนุนเต็มรูปแบบ ในฐานะเครื่องมือสำคัญช่วยให้ภาพรวมของบริการสมบูรณ์ยิ่งขึ้น โดยการผนึกกำลังกับกลุ่มบริษัทในเครือ อาทิ Initiative, UM และ Reprise

ดิว อินทปัญญา CEO, MBCS Thailand
ดิว อินทปัญญา CEO, MBCS Thailand

อย่างไรก็ตาม คุณดิวเล่าให้เราฟังว่ากว่าที่ MBCS Thailand จะเดินทางมาถึงจุดนี้ ต้องย้อนไปไกลถึง 20 ปีก่อน ในวันนั้น Ensemble ได้ถูกก่อตั้งขึ้นจากวิสัยทัศน์ของ “คุณวรรณี รัตนพล” Chairman ของ IPG Mediabrands Thailand ที่เล็งเห็นว่าหากต้องการให้มีเดียเอเจนซีเติบโตอย่างแข็งแกร่ง บริษัทก็ต้องมีบริการที่หลากหลายและครบวงจรยิ่งขึ้น จึงเป็นที่มาของการพัฒนาหน่วยงานผลิตครีเอทีฟคอนเทนต์และเป็นจุดเริ่มต้นของ Ensemble ซึ่งนับได้ว่าเป็นอินเฮาส์คอนเทนต์เอเจนซีรายแรกๆ ในไทย อีกทั้งบริษัทแห่งนี้ยังมีนโยบายการทำงานที่ไม่เหมือนใคร เช่น การมุ่งสร้างประสบการณ์ร่วมระหว่างแบรนด์กับผู้บริโภคผ่านงานสร้างสรรค์ต่างๆ จนแนวทางดังกล่าวกลายเป็นหัวใจหลักที่ทำให้ Ensemble ยืดหยัดอย่างโดดเด่น และสามารถคว้ารางวัลใหญ่ๆ เช่น Creative Agency of the Year – Gold จาก Campaign Asia มาครองได้สำเร็จ

จากความความเชี่ยวชาญที่ถูกสั่งสมผ่านกาลเวลา จึงถึงเวลาที่ Ensemble จะได้รับปรับโฉมใหม่กลายเป็น MBCS Thailand ที่พร้อมตอบโจทย์ลูกค้าครบทุกมิติยิ่งขึ้นด้วยบริการแบบ “Full-Funnel” โดยมี Data เป็นกุญแจสำคัญ

เคลียร์ทุกโจทย์แบบ Full-Funnel ด้วยประสบการณ์และ Data เชิงลึก

หลังการรีแบรนด์ แน่นอนว่าคำถามที่ตามมาก็คือ MBCS Thailand จะมีจุดที่แตกต่างจาก Ensemble Thailand อย่างไรบ้าง สำหรับประเด็นนี้คุณดิวได้อธิบายว่า สิ่งที่ชัดสุดคือศักยภาพการทำงานของบริษัทฯ จะถูกผลักดันไปสู่ “ระดับโลก” ด้วยสายสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับทางบริษัทแม่ที่นิวยอร์กมากขึ้น ทำให้ลูกค้ามั่นใจได้ถึงคุณภาพที่เหนือชั้น จากเครื่องมือใหม่ๆ และขอบเขตการทำงานที่กว้างมากขึ้น เมื่อรวมเข้ากับ Local Expertise คนไทย ก็ยิ่งทำให้ MBCS Thailand แข็งแกร่งกว่าครั้งยังเป็น Ensemble ไปอีกขั้น นอกจากนั้นในแง่เซอร์วิส MBCS Thailand จะมีการวางกรอบของบริการขึ้นใหม่ให้ชัดเจนกว่าเดิม โดยแบ่งหมวดหมู่เป็น 3 กลุ่ม ได้แก่

- Branded Content เป็นคอนเทนต์ที่บริษัททำให้ลูกค้า
- Performance Content เป็นดิจิทัลคอนเทนต์ชนิดที่สามารถวัดผลได้ในเชิงของประสิทธิภาพและตัวเลข
- Original Content เป็นคอนเทนต์ หรือโชว์ หรือรายการทีวีที่บริษัทคิดและผลิตขึ้นมาเอง

คุณดิวเสริมอีกว่าด้วยความที่ MBCS Thailand เติบโตมาจากมีเดียเอเจนซี ทำให้มีจุดแข็งอย่างมากในแง่การส่งมอบงานที่มีพื้นฐานจากข้อมูลและความรู้เชิงลึกในด้านมีเดียต่างๆ ซึ่งพระเอกสำคัญในทุกกระบวนการทำงานของบริษัทก็คือ Data ที่ผ่านการเก็บรวบรวมจากประสบการณ์และเครื่องมือต่างๆ ที่บริษัทฯ พัฒนาขึ้น ช่วยให้การบริการแบบครบลูปหรือที่เรียกว่า “Full-Funnel” มีประสิทธิภาพสูงสุด คุณดิวระบุว่า MBCS Thailand สามารถใช้ Data Technology ในการเก็บ Data-Informed Audience ในระดับลงลึก ซึ่งหากพูดในแง่ความลึกของข้อมูล คุณดิวมั่นใจว่า MBCS Thailand เป็นคอนเทนต์เอเจนซีที่มีข้อมูลตรงนี้มากที่สุด ซึ่งข้อมูลทั้งหมดจะถูกนำมาใช้ขับเคลื่อนครีเอทีฟสตอรี่ สร้างเป็นผลงานที่ตรงใจกลุ่มเป้าหมาย และส่งมอบแคมเปญได้แบบ Full-Funnel

คุณดิวยกตัวอย่างกระบวนการทำงานของ MBCS Thailand ที่เป็น Full-Funnel ให้เราฟังเพิ่มเติมว่า นับจากที่บริษัทฯ ได้รับบรีฟลูกค้ามา ก็จะเริ่มทำงานร่วมกับมีเดียเอเจนซีในเครือของ IPG Mediabrands Thailand เช่น Initiative Thailand, UM Thailand และ Reprise Thailand ซึ่งทางมีเดียเอเจนซีนั้นจะมีความถนัดในการเซกเมนต์กลุ่มเป้าหมายได้จนถึงระดับไมโครเซกเมนต์ ทำให้รู้ว่าใครคือ Target Audience หรือ High Value Audience เมื่อ MBCS Thailand ซึ่งเป็นคอนเทนต์เอเจนซีทราบเรื่องเซกเมนต์ ก็จะเริ่มวางแผนกลยุทธ์การทำคอนเทนต์ให้สอดคล้องกับข้อมูลดังกล่าว เมื่อบริษัทในเครือทำงานประกบกันไปแบบนี้จะทำให้มีเดียแพลนจากมีเดียเอเจนซีมีประสิทธิภาพดีในทุก Funnel ไม่ว่าจะเป็นการสร้างความรับรู้ (Awareness) ในส่วนของ Upper-Funnel, การสร้างปฏิสัมพันธ์ต่อแบรนด์ (Brand Engagement), ส่วนของ Middle-Funnel ลงไปถึงการขับเคลื่อนการขาย (Drive Sell) และส่วนของ Lower-Funnel เรียกได้ว่า MBCS Thailand สามารถผลิตครีเอทีฟคอนเทนต์ได้ตลอดจนจบ Funnel ในเอเจนซีเดียว

ซึ่งกระบวนการทั้งหมดจะเป็นผลงานจากทีมงานปัจจุบันของบริษัทฯ ที่มีกันประมาณ 80 คน โดยข้อดีของการเป็นอินเฮาส์คอนเทนต์เอเจนซีคืองานทุกชิ้นจะมีมาตรฐานเดียวกัน และเป็นผลงานที่เกิดจากการวางรากฐานมาเป็นอย่างดี

เหนือชั้นด้วยนวัตกรรมล้ำยุค ตอบรับทุกเทรนด์ปัจจุบันและอนาคต

ประสบการณ์ยาวนานในวงการ ทำให้ IPG Mediabrands Thailand และ MBCS Thailand ต่างรู้ดีว่าโลกเราขับเคลื่อนด้วยความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วและไม่หยุดนิ่ง ดังนั้นบริษัทฯ จึงไม่เคยหยุดจะพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อให้รองรับการทำงานที่หลากหลายอยู่เสมอไม่ว่าเทรนด์ใดจะเกิดขึ้น

จิว-ยุทธิพงศ์ จิว Digital PR Marketing Director, MBCS Thailand
จิว-ยุทธิพงศ์ จิว Digital PR Marketing Director, MBCS Thailand

ด้วยเหตุนี้ MBCS Thailand จึงพัฒนาเครื่องมือหลายอย่างขึ้นมา โดย “คุณจิว-ยุทธิพงศ์ จิว” Digital PR Marketing Director ได้เล่าให้เราฟังว่าบริษัทฯ มีการพัฒนานวัตกรรมที่เรียกว่าเป็น Owned Product ไว้หลายประเภท เช่น นวัตกรรมสำหรับการเก็บรวบรวมข้อมูลผู้นำทางความคิดในระดับท้องถิ่นที่เรียกว่า “LIFE” (Local Influencers Fully Engagement) ซึ่งเกิดจากแนวคิดว่าแต่ละพื้นที่จะมีบุคคลที่เป็นไอดอลแตกต่างกัน และกลุ่มคนเหล่านี้ล้วนมีอิทธิพลสูงมากต่อความเชื่อในระดับท้องถิ่น เช่น ทางอีสาน ทางใต้ หรือทางเหนือ ก็จะมีไอดอลของตัวเอง หรือหากลงระดับที่ลึกกว่านั้น ก็มี Influencer อีกมากมายที่มีศักยภาพพร้อมเป็นผู้นำทางความคิด ด้วยแนวคิดนี้ทีมงานจึงเริ่มทำวิจัยและผลที่ออกมาก็เป็นไปตามที่ประเมินไว้ บริษัทฯ จึงพัฒนาเครื่องมือ LIFE สำหรับใช้ในการเข้าถึงตัว Local Influencer จากทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ซึ่งเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการทำงานของ MBCS Thailand นอกจากนี้ เรายังมีอีกหลายนวัตกรรมที่เข้ามาขับเคลื่อนให้เห็นว่า Content that Moves

นอกจากนี้ “คุณโตโต้-วิโรจน์ ฐานไพศาลกิจ” Production Business Director ยังเล่าเพิ่มเติมว่าบริษัทฯ ได้พัฒนาโซลูชั่นที่จะช่วยให้ลูกค้าเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง เช่น ในปี 2019 เป็นช่วงที่มีการพัฒนา LINE API Platform ที่รองรับทั้ง LINE Campaign และ Tailor-Made Function เช่น การเข้าถึงข้อมูลของ User ในเชิงลึกได้ละเอียดยิ่งขึ้น รวมถึงพฤติกรรมการใช้งานของผู้ใช้งานได้ครบทั้ง Journey ตั้งแต่การเริ่มต้นใช้งาน, การดูเนื้อหาข้อมูล จนถึง CTA หรือ Goal ที่ทางลูกค้าตั้งไว้ ซึ่งโปรดักส์นี้บริษัทฯ เรียกว่า “ECRM” เป็นบริการที่ช่วยทำให้ลูกค้ามั่นใจได้ยิ่งขึ้นในการทำ LINE Marketing ที่ชัดเจน สรุปเป็นข้อมูลที่จับต้องได้ และมี KPI สำหรับใช้วัดผล

ไม่เพียงเท่านั้น ทางทีมยังพัฒนาเทคโนโลยี AI Assistant ที่ชื่อว่า “ECS” ที่เน้นไปทาง Social Commerce ให้ผู้ใช้งานสามารถซื้อสินค้าผ่านช่อง Chat ของแพลตฟอร์มต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย จบทุกขั้นตอนได้ในที่เดียวโดยไม่ต้องออกไปยังเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันอื่นๆ รวมถึงในปัจจุบันที่ Metaverse กำลังได้รับความสนใจ บริษัทฯ ก็มีเทคโนโลยีที่พร้อมจะตอบโจทย์ลูกค้าที่มีความต้องการสร้างแคมเปญในโลกเสมือน ไม่ว่าจะเป็น AR, VR, MR, AI หรือการออกแบบและพัฒนาตัว Avatar และ Game ต่างๆ รวมถึง Virtual Influencer เรียกได้ว่าบริษัทฯ สามารถออกแบบ Business Model ให้ลูกค้าได้ครบครันตั้งแต่การให้คำปรึกษาจนถึงการพัฒนาเพื่อใช้งานจริง ซึ่งจุดนี้เป็นข้อดีของการรีแบรนด์ ทำให้ใกล้ชิดกับสำนักงานใหญ่ทางนิวยอร์กมากยิ่งขึ้น และสามารถเข้าถึงทุกเทคโนโลยีล้ำๆ จากทางต่างประเทศได้ทั้งหมด

โตโต้-วิโรจน์ ฐานไพศาลกิจ Production Business Director, MBCS Thailand
โตโต้-วิโรจน์ ฐานไพศาลกิจ Production Business Director, MBCS Thailand

การันตีความเชี่ยวชาญด้วยรางวัล ตอกย้ำการทำงานด้วยความรู้ลึกรู้จริง

นอกเหนือจากการยอมรับจากลูกค้าที่เชื่อมั่นในบริษัทฯ มาอย่างยาวนาน MBCS Thailand ยังได้รับการยอมรับจากเวทีรางวัลทั้งในและต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นรางวัล Gold ในเวที Thailand Creative Agency of the Year จากแคมเปญ Asia ซึ่งเป็นรางวัลระดับ APAC (เอเชียแปซิฟิก) รวมไปถึงรางวัลจาก Reginal Platform ต่างๆ อาทิ ในปีล่าสุดบริษัทฯ ได้รับรางวัล Film Craft จากเวทีเอเชีย ซึ่งนับเป็นคอนเทนต์เอเจนซีที่เกิดจากมีเดียเอเจนซีรายแรกที่ได้รับรางวัลนี้ นอกจากนี้เวทีของไทยอย่าง MAAT หรือ Thailand Influencer Award บริษัทฯ ก็ยังคว้ารางวัลมาได้มากมาย

โดยเวที Thailand Influencer Award บริษัทฯ เคยได้รับรางวัลมาจากแคมเปญของ KFC กับโปรดักส์ไก่เกาหลี ซึ่งทีมงานของคุณจิวที่ดูแลด้าน Influencer ได้ใช้ข้อมูลที่มีทำวิจัยเพื่อศึกษาเกี่ยวกับวัฒนธรรมเคป๊อปในหลายๆ แง่มุม ก่อนนำมาตกผลึกเพื่อสร้างคอนเทนต์ที่สื่อสารไปถึงกลุ่มเป้าหมายจนสามารถคว้ารางวัลมาได้

ทางด้านของรางวัลจากเวที MAAT Award “คุณตอง-วรวดี เชาวน์เกษม” Social Media Director ได้เล่าให้เราฟังเพิ่มเติมถึงกระบวนการคิดแคมเปญ “ส่งทุกทิศใกล้ชิดทุกความสัมพันธ์” ที่ทำร่วมกับไปรษณีย์ไทยจนสามารถคว้าชัยชนะมาได้ คุณตองกล่าวว่ารางวัลนี้เป็นรางวัลที่บริษัทฯ ภูมิใจที่สุด เพราะเป็นแคมเปญที่สะท้อนตัวตนของ MBCS Thailand ที่ต้องการสร้างสรรค์ “Content That Moves” ได้อย่างชัดเจน ผ่านคำว่า “Move” ในนิยามของ MBCS Thailand ที่ต้องการจะสร้างงานที่สามารถขับเคลื่อนชีวิตผู้คน ขับเคลื่อนสังคม ขับเคลื่อนธุรกิจ และขับเคลื่อนแบรนด์ของลูกค้าไปพร้อมกัน

ตอง-วรวดี เชาวน์เกษม Social Media Director, MBCS Thailand
ตอง-วรวดี เชาวน์เกษม Social Media Director, MBCS Thailand

แคมเปญ “ส่งทุกทิศใกล้ชิดทุกความสัมพันธ์” เกิดขึ้นในช่วงที่วิกฤตโควิดกำลังคุกคามอย่างหนักจนความเศร้าซึมครอบงำไปทั้งประเทศ MBCS Thailand จึงพยายามนำโจทย์ลูกค้ามาเล่าในเชิงสร้างสรรค์เพื่อสร้างพลังบวกให้กับสังคม โดยการใช้กลยุทธ์ Influencer Identification วิเคราะห์ข้อมูลและระบุตัว influencer ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับแคมเปญผ่านเครื่องมือดิจิทัลเฉพาะของทีม เพื่อนำเสนอเนื้อหาให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย เช่น ผู้ที่อยู่ไกลบ้าน และผู้ที่อยู่ระหว่างกักตัวทำให้ไม่สามารถกลับมาเจอคนที่รักได้ เพื่อเป็นสื่อกลางบอกเล่าว่าแม้ในเวลานี้จะไม่สามารถเจอกันได้ แต่ความรักและห่วงใยสามารถส่งถึงกันได้เสมอ พร้อมกันนั้นก็ใช้วิธี Realtime Optimization เพื่อตรวจสอบและคัดเลือกคอนเทนต์ที่ได้รับการตอบรับดี มาทำพัฒนาต่อ และโปรโมทอย่างต่อเนื่องใน owned channel เพื่อให้ได้ประสิทธิผลสูงสุด ซึ่งแคมเปญดังกล่าวได้ผลตอบรับที่ดีมาก ในเชิงธุรกิจบริษัทฯ สามารถทำให้ไปรษณีย์ไทยมี Brand Love เพิ่มมากขึ้น ส่วนในเชิงสังคมบริษัทฯ ก็ได้เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยขับเคลื่อนสังคมให้ยังมีกำลังใจพร้อมจะสู้ต่อไปในวันข้างหน้า และจากผลงานนี้ก็ทำให้บริษัทได้รับรางวัล Best Use of Media for Good จาก MAAT Award

มุ่งสู่การเป็น “Game Changer” ด้วยพลังแห่ง “Content That Moves”

มาถึงจุดนี้ เชื่อว่าหลายท่านน่าจะรู้สึกเช่นเดียวกับเราที่สัมผัสได้ชัดเจนถึงความเก่งของทีมงาน MBCS Thailand สะท้อนผ่านการทำงานที่ไปไกลเกินกว่าความคาดหวัง ซึ่งเกิดจากความเชี่ยวชาญที่บ่มเพาะมาเป็นอย่างดี สุดท้ายเมื่อทีมงานสอบถามถึงพันธกิจต่อจากนี้หลังบริษัทฯ เปิดม่านสู่ยุคใหม่เต็มตัว ทางด้านคุณดิวก็บอกกับเราทันทีว่า “สิ่งที่ MBCS Thailand มองเป็นเป้าหมาย คือเรามุ่งจะเป็นเอเจนซีที่เป็น Game Changer เราต้องการพลิกภาพของเอเจนซีแบบดั้งเดิมสู่ยุคใหม่ที่มีการทำงานแบบเชื่อมโยงไร้รอยต่อ เราจะทำงานร่วมกับ IPG Mediabrands Thailand โดยมองไปข้างหน้าหนึ่งก้าวเสมอ และยึดเอาเจตนารมณ์ของการสร้าง Content That Moves มาเป็นพันธกิจในทุกๆ ด้าน”

“เริ่มตั้งแต่ในบริษัทฯ ของเราเอง เราจะขับเคลื่อนให้พนักงานของเราเป็นครีเอทีฟเอเจนซีที่ทำงานด้วยแล้วมีความสุข ยกระดับ Happiness Level ในองค์กร เพราะอย่างที่ทราบว่าธุรกิจโฆษณาหรือสื่อเนี่ยเป็นธุรกิจที่มีความเครียดสูง ติดอันดับท็อปเท็น ทำงานกับเวลา ดังนั้นพันธกิจในเรื่องของภายในของเราก็คือในเรื่องของความสุขของพนักงาน”

“ในระดับที่สูงขึ้น แน่นอนว่าคนที่สำคัญที่สุดของเราก็คือลูกค้า เราจะใช้ Content That Moves เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจของลูกค้าให้มีประสิทธิภาพยิ่งกว่าเคย โดยเอาความแข็งแรงจากจุดเด่นในเรื่องข้อมูล ในเรื่องความเข้าใจกลุ่มเป้าหมาย ทำให้คอนเทนต์สามารถขับเคลื่อนยอดขายได้ ซึ่งการที่เราเป็น Full-Funnel ในเอเจนซีเดียว จะทำให้ธุรกิจของลูกค้า งานคอนเทนต์ที่เกิดขึ้นไร้รอยต่อ แล้วก็ตอบโจทย์ไปถึงเรื่องของตัวเลข ได้ เป็นการขับเคลื่อนธุรกิจด้วยคอนเทนต์”

“ในส่วนการขับเคลื่อนวงการ อย่างที่บอกว่าเราจะเป็น Game Changer ดังนั้นเราจะยกระดับครีเอทีฟเอเจนซีในเมืองไทยให้ไปอีกขั้นหนึ่ง โดยการเป็นหัวหอกในการนำแนวคิดของ Data Tech มาใช้ในวงการนี้”

“สุดท้ายในเรื่องของการขับเคลื่อนสังคม เราพยายามที่จะตั้งเป้าหมาย ไม่ใช่แค่ว่าเราจะสร้างแคมเปญให้กับลูกค้า แต่แคมเปญของเราต้องส่งมอบคอนเทนต์ที่มีความหมาย ไม่ได้มองแค่การประสบความสำเร็จในแง่ตัวเงินเท่านั้น แต่ต้องสามารถขับเคลื่อนสังคมได้ในทางใดทางหนึ่ง และเราตั้งใจจะให้การส่งมอบ Purposeful Campaign นั้นเป็น Peace of Mind ของพวกเรา”