หัวหน้าทีมซอกแซกรู้สึกตื่นเต้นมากเมื่อได้รับแจกแผ่นปลิวเกี่ยวกับสถานที่และเวลาอย่างคร่าวๆ ที่ลูกศิษย์ของท่านอาจารย์ ดร.สุเนตร ชุตินธรานนท์ แจกให้แก่พวกเราก่อนออกเดินทาง ไปสู่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

เพราะมีกำหนดการที่จะแวะไปเยือน “วัดภูเขาทอง” ซึ่งมีเจดีย์โด่งดังเป็นที่รู้จักของคนไทยทั่วประเทศที่เรียกกันว่า “เจดีย์ภูเขาทอง” ประดิษฐานอยู่ด้วยที่วัดนี้

ตื่นเต้นเพราะหัวหน้าทีมซอกแซกเคยได้ยินชื่อเสียง และเคยถูกบังคับให้ท่องบทอาขยานที่เกี่ยวกับพระเจดีย์องค์นี้ เมื่อครั้งเรียนอยู่ชั้นเตรียมอุดมศึกษาปีที่ 1 หรือ ม.7 เมื่อ พ.ศ.2501 มาแล้ว...จำได้ว่ายุคนั้นสามารถท่องได้อย่างคล่องแคล่ว

เริ่มตั้งแต่ “เดือนสิบเอ็ดเสร็จธุระ พระวสา...รับกฐินภิญโญโมทนา...ชุลีลาลงเรือเหลืออาลัย” อันเป็นบทเริ่มต้นไปจนถึงท่อนสำคัญที่ว่า

“ถึงโรงเหล้าเตากลั่นควันโขมง...มีคันโพงผูกสายไว้ปลายเสา โอ้บาปกรรมนํ้านรกเจียวอกเรา...ให้มัวเมาเหมือนหนึ่งบ้าเป็นน่าอาย”

และในที่สุดมาถึงท่อน “ครั้นรุ่งเช้าเข้าเป็นวันอุโบสถ...เจริญรสธรรมาบูชาฉลอง ไปเจดีย์ที่ชื่อภูเขาทอง ดูสูงล่องลอยฟ้านภาลัย”

อันเป็นหมุดหมายปลายทางของการเดินทางทางเรือ จากกรุงเทพมหานครอมรรัตนโกสินทร์ ไปสู่กรุงเก่าพระนครศรีอยุธยา ของท่านผู้ประพันธ์กวีบทนี้ ซึ่งก็คือ “บรมครู” ของพวกเราเหล่านักกลอนทั้งหลาย ท่าน “สุนทรภู่” นั่นเอง

และบทกวีที่เป็นกลอนแปดบทนี้ก็คือ “นิราศภูเขาทอง” ที่ท่านบรรจงแต่งไว้ เมื่อประมาณ พ.ศ.2371 หรือ 194 ปีที่ผ่านมา

หัวหน้าทีมซอกแซกได้ยินชื่อและรู้จัก “ภูเขาทอง” แห่งกรุงศรีอยุธยาเป็นครั้งแรกก็จากบทอาขยานที่โรงเรียนเขาบังคับให้ท่องบทนี้...ยังนึกสงสัยว่า เหตุไฉนท่านสุนทรภู่ถึงต้องลงเรือแจวจากกรุงเทพฯไปจนถึงจังหวัดพระนครศรี อยุธยาเพื่อกราบไหว้พระเจดีย์องค์นี้แล้วเขียน “นิราศ” ออกมาได้อย่างซาบซึ้งตรึงใจดังกล่าว

...

ก็ปรากฏว่าไปได้รับคำตอบเอาที่บริเวณลานวัด หน้าองค์พระเจดีย์ “ภูเขาทอง” โดยการ บรรยายของท่านอาจารย์ ดร.สุเนตรนั่นแหละครับ

เพิ่งรู้ “ภูเขาทอง” อยุธยา ที่มา “ภูเขาทอง” กรุงเทพฯ

ก่อนอื่นเรามาทบทวนกันเสียก่อนว่า วัดแห่งนี้มีความเป็นมาและเป็นไปอย่างไร โดยเริ่มจากบันทึกคำให้การชาวกรุงเก่าระบุว่า วัดนี้สร้างขึ้นตั้งแต่สมัย พระราเมศวร เมื่อ พ.ศ.1930 ต่อมา พระเจ้าบุเรงนอง ยกทัพมาประชิดกรุงศรีอยุธยาแล้วยึดไว้ได้ เมื่อ พ.ศ.2112 จึงสร้าง “พระเจดีย์ภูเขาทอง” ที่มีฐานแบบเจดีย์มอญและพม่าไว้เป็นที่ระลึก แต่ยังไม่เสร็จครบองค์ก็ยกทัพกลับไป

ต่อมา เมื่อสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงกอบกู้เอกราชกลับคืนมาได้ เมื่อ พ.ศ.2127 จึงโปรดเกล้าให้สร้างเจดีย์แบบไทยไว้เหนือฐานแบบมอญและแบบพม่า ซึ่งต่อมาก็มีการบูรณะอีกหลายครั้งและครั้งล่าสุดก็คือในยุคสมัย พระเจ้าบรมโกศ ปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา จนมีรูปลักษณ์ดังที่เราเห็นอยู่ในปัจจุบัน

เมื่อกรุงศรีอยุธยาแตกเป็นครั้งที่ 2 วัดภูเขาทองก็กลายเป็นวัดร้างเช่นเดียวกับวัดอื่นๆอีกจำนวนมาก แต่ก็ยังเป็นที่กล่าวถึงของชาวรัตนโกสินทร์ ราชธานีใหม่อยู่ตลอดเวลา เพราะนอกจากเจดีย์ภูเขาทองจะเป็นอนุสรณ์ของตำนานการสู้รบ และการกอบกู้เอกราชดังกล่าวแล้ว ยังมีชื่อเสียงอีกประการหนึ่ง ได้แก่ การเป็นสถานที่ชุมนุมจัดงานสนุกสนานต่างๆของชาวกรุงศรีอยุธยาช่วงปลายๆจนเป็นที่โจษขานไปทั่ว

หน้าวัดภูเขาทองนั้นเองมีคลองขุดที่โด่งดังมากคลองหนึ่ง นำขุดโดยพระภิกษุที่มีชื่อว่า “นาค” และคงบวชเรียนอยู่นานจนชาวบ้านเรียกว่า “มหานาค”

เมื่อขุดคลองแล้วเสร็จจึงตั้งชื่อคลองนี้ว่า “คลองมหานาค” ตามชื่อของพระภิกษุที่นำชาวบ้านขุดคลองดังกล่าว

ลำคลองมหานาคนี่แหละที่เป็นสถานที่เล่นเพลงบอก เพลงสักวา และเพลงเรือต่างๆของชาวกรุงศรีอยุธยาจนเป็นที่เลื่องลือ และอยู่ในความทรงจำของคนกรุงศรีอยุธยาไปโดยตลอด

ครั้นเมื่อรัชกาลที่ 1 ทรงตั้งกรุงเทพฯให้เป็นราชธานีขึ้นใหม่ใน พ.ศ.2326 นั้น ได้ทรงมีพระราชดำริให้ขุดคลองขึ้น 2 คลอง ได้แก่ คลองรอบกรุง เพื่อใช้เป็นแนวป้องกันพระนครกับอีกคลองเรียกว่า คลองมหานาค อันเป็นชื่อพระราชทานให้ โดยทรงนำแบบอย่างมาจากคลองมหานาคที่วัดภูเขาทองในกรุงเก่า สำหรับให้ชาวพระนครใช้เล่นเพลงสักวาดังเช่นยุคกรุงศรีอยุธยานั่นเอง

ไม่แน่ใจว่าชาวกรุงใหม่จะชอบเล่นเพลงสักวาในคลองมหานาคใหม่หรือไม่ แต่จาก “นิราศภูเขาทอง” ของ สุนทรภู่ ที่แต่งไว้ ยังคงมีการเล่นสักวาในคลองมหานาคเก่า ณ กรุงศรีอยุธยาอันเป็นวัตถุประสงค์ประการหนึ่งของการนั่งเรือทวนน้ำไปไหว้ภูเขาทอง และชมการเล่นสักวาทางเรือที่อยุธยาของท่านสุนทรภู่เมื่อครั้งกระนั้น

โดยบันทึกไว้ค่อนข้างยาวทีเดียวใน นิราศภูเขาทอง ว่าด้วยความสนุกสนานของการเล่นเสภาในเรือฉลองผ้าป่าในวันที่ท่านไปจอดนอนค้างคืน

ส่วนการสร้างพระบรมบรรพต หรือ “เจดีย์ภูเขาทอง” ขึ้นที่ วัดสระเกศ (ซึ่งสร้างตั้งแต่รัชกาลที่ 1 และอยู่ริมคลองมหานาคที่ทรงมีพระราชดำริให้ขุด) นั้น เป็นพระราชดำริของ สมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 แต่มาแล้วเสร็จสมบูรณ์ในยุคสมัยของ พระพุทธเจ้าหลวง รัชกาลที่ 5 ทำให้กรุงรัตนโกสินทร์ มี ภูเขาทอง เคียงคู่ คลองมหานาค เช่นเดียวกับกรุงเก่า หรือกรุงศรีอยุธยา สืบต่อมาจนถึงวันนี้

...

ก็ขออนุญาตทึกทักตีความเอาเองว่า เหตุที่ท่าน สุนทรภู่ ยอมนั่งเรือทวนน้ำไปกรุงเก่านอกจากจะไปไหว้องค์ภูเขาทองแล้วก็คงจะไปฟังเพลงสักวาที่คลองมหานาคกรุงเก่าตามรสนิยมของ “คนกรุงใหม่” ใน พ.ศ.นั้นที่ยังถวิลถึงความสุข ความสำราญ และความรุ่งเรืองแห่งกรุงศรีอยุธยาราชธานีอันยิ่งใหญ่ ที่มีการบอกกล่าวเล่าสู่กันฟังมาตลอดยุคแรกๆของรัตนโกสินทร์

สรุปถูกสรุปผิดหรือไม่ อย่างไร...ขออภัย ล่วงหน้าด้วยนะครับ...เพราะพื้นฐานของหัวหน้า ทีมซอกแซกเป็นนักเรียนเศรษฐศาสตร์ครับ มีความรู้ด้านประวัติศาสตร์เพียงแค่หางอึ่ง เท่านั้นเอง แฮ่ม!

“ซูม”