สำหรับใครที่เป็นคอหนัง โดยเฉพาะการดูหนังในโรงภาพยนตร์คงอยากรู้ว่าช่วง 2 ปีที่ผ่านมา คือปี 2563 และปี 2564 มีหนังเรื่องใดติดอันดับทำเงิน 5 อันดับแรกบ้าง และด้วยสถานการณ์โควิด-19 ที่แพร่ระบาดอย่างหนักสร้างผลกระทบกับวงการภาพยนตร์อย่างไร มีข้อมูลจากเอกสารของเครือเมเจอร์ที่รายงานต่อนักลงทุนที่น่าสนใจดังนี้

ปี 2563

  1. อีเรียมซิ่ง มูลค่า 153 ล้านบาท
  2. Demon Slayer: Kimetsu no Yaiba มูลค่า 89 ล้านบาท
  3. พี่นาค 2 มูลค่า 79 ล้านบาท
  4. WONDER WOMAN 1984 มูลค่า 70 ล้านบาท
  5. Mulan 2020 มูลค่า 68 ล้านบาท

ปี 2564

  1. King Kong vs. Godzilla มูลค่า 253 ล้านบาท
  2. Spider-Man: No Way Home มูลค่า 204 ล้านบาท
  3. 4 Kings อาชีวะ ยุค 90's มูลค่า 101 ล้านบาท
  4. Eternals มูลค่า 75 ล้านบาท
  5. ร่างทรง มูลค่า 71 ล้านบาท

สิ่งที่น่าสนใจคือปี 2563 เป็นปีแรกที่หนังไทยอย่าง “อีเรียมซิ่ง” ติดชาร์ตอันดับ 1 หนังทำเงิน ด้วยมูลค่าถึง 153 ล้านบาท และมีหนังฮอลลีวูดติดอันดับหนังทำเงินจำนวน 3 เรื่อง คือ Demon Slayer: Kimetsu no Yaiba (ดาบพิฆาตอสูร เดอะมูฟวี่ : ศึกรถไฟสู่นิรันดร์) ติดอันดับ 2 ด้วยมูลค่า 89 ล้านบาท ตามด้วยหนังไทยคือ พี่นาค 2 ที่ทำเงินได้เป็นมูลค่า 79 ล้านบาท ส่วนอันดับ 4 คือ WONDER WOMAN 1984 ทำเงินได้เป็นมูลค่า 70 ล้านบาท และ Mulan 2020 ทำเงินได้เป็นมูลค่า 68 ล้านบาท

...

เนื่องจากปี 2563 เป็นปีแรกที่โควิด-19 เริ่มระบาดทั่วโลก จึงทำให้หลายประเทศมีมาตรการล็อกดาวน์และเว้นระยะห่างเพื่อป้องกันการระบาดของเชื้อโควิด-19 ส่งผลให้รายได้ของธุรกิจโรงภาพยนตร์ลดต่ำลง เพราะไม่สามารถเปิดให้บริการได้แบบปกติ นอกจากนี้ค่ายผู้ผลิตภาพยนตร์ต่างปรับตัว โดยเลื่อนฉายภาพยนตร์ออกไป รวมถึงเปิดฉายควบคู่ไปกับบริการสตรีมมิงของตัวเอง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ปี 2563 หนังไทยจึงมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 45% นับว่าเป็นส่วนแบ่งที่สูงมากเมื่อเทียบกับปีก่อนๆ ที่มีส่วนแบ่งตลาดเพียง 20-25% เท่านั้น

ส่วนปี 2564 ที่แม้ว่าประเทศไทยจะยังมีการล็อกดาวน์เป็นเวลาหลายเดือน แต่หลังจากที่เริ่มผ่อนคลายมาตรการและอนุญาตให้โรงภาพยนตร์เปิดบริการได้โดยใช้มาตรการเว้นระยะห่าง จึงทำให้ผู้คนที่ชื่นชอบการดูหนังในโรงภาพยนตร์เข้ามาใช้บริการมากขึ้น และทำให้สัดส่วนหนังฮอลลีวูดขยับขึ้นมาเป็น 75% ใกล้เคียงกับสัดส่วนในปีอื่นๆ ก่อนที่จะมีการระบาดของโควิด-19

สำหรับส่วนแบ่งตลาดภาพยนตร์ทั่วประเทศในปี 2563 กรุงเทพฯ และปริมณฑลมีส่วนแบ่ง 51% ต่างจังหวัด 49% ใกล้เคียงกับปี 2564 ที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล มีส่วนแบ่ง 52% และต่างจังหวัด 48%