ประกาศจุดยืนชัดเจนว่าจะใช้ความเป็น “เจ้าหญิงยุคใหม่” ให้เป็นประโยชน์ที่สุด เพื่อช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาสในแอฟริกาใต้ให้มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น และเป็นตัวตั้งตัวตีในการอนุรักษ์สัตว์ ใกล้สูญพันธุ์ในกาฬทวีป เมื่อ ตกเป็นข่าวระหองระแหงกับ พระสวามี “เจ้าหญิงชาร์ลีน แห่งโมนาโก” พระชนม์ 43 ชันษา จึงเลือกหลบลี้หนีหน้าไปพักใจที่บ้านเกิด เมืองนอนแบบไม่มีกำหนด ทิ้งลูกแฝด “เจ้าหญิงแกเบรียลลา” และ “เจ้าชายฌากส์” ไว้ในวังหลวงตาม ลำพัง มีเพียงแถลงการณ์ สั้นๆจากสำนักพระราชวังโมนาโกระบุว่า เจ้าหญิงทรง เข้ารับการผ่าตัดที่แอฟริกาใต้ และต้องอยู่พักฟื้นยาว แต่ไม่ระบุอาการป่วยใดๆ

เมื่อเร็วๆนี้ “เจ้าหญิงชาร์ลีน” ทรงพยายามสยบข่าวลือเรื่องเตียงหัก ที่แพร่สะพัดมาต่อเนื่องหลายเดือน ด้วยการให้สัมภาษณ์กับสื่อท้องถิ่น ของแอฟริกาใต้ว่า ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการพักฟื้นจากการผ่าตัด รู้สึกเสียใจมากที่ไม่สามารถขึ้นเครื่องบินเดินทางกลับโมนาโก ทั้งๆที่คิดถึงสามี, ลูกๆ และสุนัขมาก การได้คุยทางไกลกันทุกวันช่วยให้มีกำลังใจขึ้นมาก และนับวันรอที่จะได้อยู่ด้วยกันพร้อมหน้าอีกครั้ง

...

สำหรับอาการป่วยที่หู, คอ และจมูก ซึ่งรุนแรงหนักถึงขั้นต้องผ่าตัดด่วนที่แอฟริกาใต้ เมื่อปลายเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา เจ้าหญิงสันนิษฐานว่าเป็นผลมาจากการผ่าตัดยกเยื่อบุผนังไซนัสและเสริมกระดูก เพื่อฝังรากฟันเทียม ซึ่งทำไว้ตอนอยู่โมนาโก ตั้งแต่ต้นเดือน พ.ค. ก่อนเดินทางมาแอฟริกาใต้ เพื่อร่วมรณรงค์อนุรักษ์สัตว์ป่าในกลางเดือนเดียวกัน โดยอาการปวดหูอย่างรุนแรงเริ่มส่งสัญญาณในช่วงต้นเดือน มิ.ย. จนต้องตัดสินใจยกเลิกการเดินทางกลับมาร่วมฉลองครบรอบ 10 ปี การอภิเษกสมรส ในเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา

เพราะไม่ใช่ครั้งแรกที่ “เจ้าหญิงชาร์ลีนแห่งโมนาโก” ทรงหนีออก จากวังหลวง จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีข่าวลือสะพัดถึงสัมพันธ์ง่อนแง่นระหว่างเจ้าหญิงกับพระสวามีผู้มากรัก “เจ้าชายอัลแบร์ที่สองแห่งโมนาโก” ย้อนไปในช่วงก่อนเข้าพิธีอภิเษกสมรส เมื่อปี 2011 เจ้าหญิงก็เคยหนีออกจากวังหลวงมาแล้ว แม้สุดท้ายจะตามตัวกลับมาเป็นเจ้าสาวได้ทันเวลา แต่ระหว่างเข้าพิธีเจ้าหญิงนักว่ายน้ำกลับดูหมองเศร้าและน้ำตารื้น ขณะที่ “เจ้าชายอัลแบร์ที่สอง” ทรงมีสีหน้าไม่สบอารมณ์

อีกหนึ่งสัญญาณที่บ่งชี้ถึงความไม่ลงรอยกันคือ ในช่วงวิกฤติโควิด-19 “เจ้าหญิงชาร์ลีน” เคยรับสั่งเป็นนัยๆว่า ปี 2019 เป็นปีแห่งความเจ็บปวด พอผ่านมาถึงปี 2020 ก็ยังไม่มีอะไรดีขึ้น อดีตนักว่ายน้ำโอลิมปิกจากแอฟริกาใต้ที่กลายเป็นซินเดอเรลล่า ยอมรับว่าต้องเผชิญกับเรื่องแย่ๆมากมายในปี 2020 จนอยากจะลบออกจากความทรงจำ!!

...

แม้จะไม่ระบุชัดว่าเจ็บช้ำเรื่องใด จนต้องลุกขึ้นมาไถผมสั้นกุดเป็นสาวพั้งก์ และเก็บกระเป๋าไปปักหลักอยู่ในแอฟริกาใต้อย่างไม่มี กำหนด แต่สื่อใหญ่ทั่วยุโรปต่างขุดคุ้ยตรงกันว่า สาเหตุของรอยร้าวครั้งนี้น่าจะมาจากข่าวฉาวล่าสุด ที่ “เจ้าชายอัลแบร์ที่สอง” ทรงถูกฟ้องเรียกค่าเลี้ยงดูบุตรอีกครั้ง คราวนี้เป็นหญิงนิรนามชาวบราซิล อ้างว่ามีบุตรสาว วัย 15 ปี กับประมุขโมนาโก ซึ่งขณะนั้นเจ้าชายทรงเป็นแฟนกับเจ้าหญิงแล้ว แต่ทั้งคู่ยังไม่ได้อภิเษกสมรสกัน

ก่อนหน้านี้ ประมุขแห่งโมนาโกทรงเคยโดนฟ้องในคดีลักษณะเดียวกันมาแล้ว 3 ครั้ง โดยลงเอยด้วยการตรวจดีเอ็นเอ และยอมรับในที่สุดว่า 2 ใน 3 เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของพระองค์ จนถึงขณะนี้ทรงให้การอุปถัมภ์ลูกนอกสมรสอยู่ 2 คน ลูกสาวคนแรกเกิดจากสัมพันธ์กับ “ทามารา โรโทโล” นายหน้าอสังหาฯชาวอเมริกัน ส่วนลูกชายคนที่สองเป็นพยานรักระหว่างเจ้าชายกับแอร์โฮสเตสผิวสีสายการบินแอร์ฟรานซ์ “นิโคล คอสท์” ที่เรื่องมาแดงเมื่อปี 2005 ไม่กี่วันก่อนเจ้าชายเข้าพระราชพิธี บรมราชาภิเษก

...

ไม่แปลกที่ในยามทุกข์ใจเจ้าหญิงจะคิดถึงบ้านเกิดและอยากกลับไปพักใจในอ้อมอกอุ่นๆของครอบ ครัว งานนี้แม้ประมุขแห่งโมนาโกจะลงทุนบินไปเยี่ยมพระชายาถึงแอฟริกาใต้ และโพสต์รูปคู่ลงอินสตาแกรม กระนั้น แมงเม้าท์แอบจับผิดว่าทั้งคู่ดูฝืนๆไม่สนิทใจที่กอดกัน เมื่อปี 2020 “เจ้าชายอัลแบร์ที่สอง” ทรงเป็นผู้นำประเทศรายแรกของโลกที่ติดเชื้อโควิด-19 ทำให้เจ้าหญิงต้องดูแลอย่างใกล้ชิดตลอดเวลาที่พักรักษาตัวนานหลายเดือน

...

หลายปีมานี้ ภาพของ “เจ้าชายเพลย์บอย” ได้ค่อยๆถูกลบทิ้งไป เหลือเพียงความเป็นแฟมิลี่แมน โดยแม้จะปกครองราชรัฐเล็กที่สุดเป็นอันดับสองของโลก มีประชากรอาศัยอยู่ไม่ถึง 40,000 คน แต่ประมุขโมนาโกก็ทรงเป็นกษัตริย์รวยที่สุดอันดับ 10 ของโลก มีสินทรัพย์ในครอบครองมากกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และเป็นเจ้าของที่ดิน 1 ใน 4 ของประเทศ ทรงเน้นย้ำเสมอถึงความสำคัญในการสร้างคอนเนกชันผูกสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนานาประเทศ และผู้ทรงอิทธิพลด้านต่างๆของโลก โมนาโกไม่จำเป็นต้องพยายามเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ คิดใหญ่ทำใหญ่ฝันใหญ่ แต่ควรโฟกัสที่ความสุขและคุณภาพชีวิตของประชาชนเป็นหลัก ด้วยวิสัยทัศน์เช่นนี้ตั้งแต่เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นประมุขโมนาโก เมื่อปี 2005 จึงได้ครองใจประชาชนเสมอมา

น่าเสียดายมีเพียงความด่างพร้อยเดียวเท่านั้น ที่ตามหลอกหลอนซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่เลิก.

ทีมข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ