เรากำลังเข้าสู่ยุคไฮบริดเต็มตัว สามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้ “Work from Anywhere” สลับกับการทำงานจากระยะไกล “Remote Working” หรือจะทำงานไปเที่ยวไป “Workation” ก็ยังไหว และเข้าออฟฟิศแค่จำเป็น เพราะสถานการณ์ล็อกดาวน์ในช่วงโควิด-19 พิสูจน์ให้เห็นว่า นี่คือแนวทางการทำงานยุคใหม่ให้ได้งานที่มีประสิทธิภาพสูงสุด วัดกันจะจะจากผลงานไปเลย โดยไม่จำเป็นต้องติดแหง็กอยู่ในออฟฟิศทั้งวัน เรียกว่าลดเวลาเดินทาง และเพิ่มเวลาการใช้ชีวิตมากขึ้น
เมื่อคนทำงานมีความสุขก็ย่อมสร้างสรรค์ผลงานได้บรรเจิด
หลายๆบริษัทและองค์กรหัวสมัยใหม่ ที่ให้ความสำคัญกับเป้าหมายและผลงานมากกว่าเวลาตอกบัตร เช่น ธนาคารไทยพาณิชย์, แสนสิริ, COM7, บิลค์ วัน กรุ๊ป และ THiNKNET ลุกขึ้นปรับวัฒนธรรมการทำงานใหม่หมด โดยประกาศให้พนักงานทำงานจากที่ไหนก็ได้ไปตลอด แม้หลังสิ้นสุดการแพร่ระบาดของโควิด-19 เพราะพบว่าพนักงานสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น แถมยังขยันสู้งานกว่าตอนอยู่ในออฟฟิศ
...
จากเทรนด์การทำงานแห่งอนาคตที่คนไทยไม่คุ้นชิน “การทำงานแบบไฮบริด” กำลังจะกลายเป็นเรื่องปกติของการทำงานในยุคดิจิทัล และเป็นแม่เหล็กชั้นดีดึงดูดคนทำงานรุ่นใหม่ๆมีฝีมือให้เข้ามาทำงานกับองค์กรหัวก้าวหน้า เพราะสามารถบาลานซ์เรื่องงานกับชีวิตส่วนตัวเข้าด้วยกัน
ก็เพราะการทำงานจากที่ไหนก็ได้ และการทำงานจากระยะไกล เป็นวัฒนธรรมใหม่ของการทำงานยุคดิจิทัล หลายๆบริษัทจึงต้องเร่งปรับออฟฟิศใหม่เพื่อรับวิถีนิวนอร์มอล โดยส่วนใหญ่เปลี่ยนออฟฟิศเป็นแบบเปิดโล่งไม่มีโต๊ะทำงานประจำ ลดการกั้นห้องแบ่งโซน แล้วหันมาจัดตู้ล็อกเกอร์ให้พนักงานได้เก็บข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวแทน เรียกว่าเพิ่มสเปซให้ใหญ่ขึ้น เน้นสร้างพื้นที่ส่วนกลางมากที่สุด
...
มนุษย์ลุงมนุษย์ป้าคงสงสัยล่ะสิ แล้วจะวัดยังไงว่าใครอู้ใครทำงานจริง ปัจจุบันมีการพัฒนาแอปพลิเคชันจัดการด้านทรัพยากรบุคคล เพื่อทำหน้าที่เช็กเวลาเข้าออกงาน และแจ้งการลาของพนักงาน กระนั้น ภายใต้วิถีนิวนอร์มอลนี้ เวลาในการทำงานจะมีความยืดหยุ่นขึ้น แต่ละแผนกสามารถปรับวิธีการทำงานให้ตอบโจทย์การใช้ชีวิต เพื่อสร้างงานที่มีคุณภาพร่วมกัน
...
จากเดิมที่พนักงานต้องเข้างาน 9 โมงเช้า ถึง 6 โมงเย็น วัฒนธรรมการทำงานยุคใหม่เปิดกว้างให้เก็บชั่วโมงการทำงานจนครบ 8 ชั่วโมงต่อวัน หรือ 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ แล้วรายงานตัวผ่านแอปพลิเคชัน โดยไม่ฟิกซ์เวลาเข้าออกงาน เพื่อช่วยให้การทำงานมีความคล่องตัวขึ้น บางบริษัทจัดหาพื้นที่ทำงานร่วมกันแบบ “co-working office” กระจายอยู่ในย่านต่างๆ เพื่อเป็นทางเลือกให้พนักงานได้ทำงานตามโลเกชันที่พักอาศัย
...
หัวใจสำคัญของการทำงานจากที่ไหนก็ได้ และการทำงานจากระยะไกล คือ “การสื่อสารภายในองค์กร” และ “ความพร้อมด้านเทคโนโลยี” ผู้บริหารจำเป็นต้องสื่อสารกับพนักงานให้ชัดเจนมากขึ้น เพื่อให้มองเป้าหมายเดียวกัน ขณะที่บริษัทต้องมีความพร้อมในการใช้เทคโนโลยีเพื่อบริหารจัดการให้พนักงานทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้นในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาระบบซอฟต์แวร์รองรับการทำงาน, การจัดการด้านระบบไอทีที่มีประสิทธิภาพ, การจัดสรรเครื่องมือรองรับการทำงานให้พนักงานทุกแผนกสามารถทำงานร่วมกันทางออนไลน์อย่างคล่องตัว ต่อไปพนักงานทุกคนจะต้องสามารถจัดทำเอกสาร, รับส่งงาน, ประชุมภายในและภายนอกองค์กร ตลอดจนอนุมัติเอกสารผ่านออนไลน์ได้รวดเร็ว แม้แต่ตำแหน่งที่ดูเหมือนต้องเข้าออฟฟิศทุกวัน เช่น Call Center, เลขา และแอดมิน ก็พิสูจน์มาแล้วในช่วงโควิด-19 ว่าสามารถประสานงานและให้บริการจากที่บ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพเหมือนตอนนั่งทำงานในออฟฟิศ
หมดเวลาของมนุษย์เงินเดือนยุคเก่าแล้ว ที่เข้าออฟฟิศเพื่อเช็กชื่อเสนอหน้าไปวันๆ โดยไม่ปรับตัวให้ทันโลก ต่อไป KPI ยุคใหม่ต้องวัดกันที่ผลงาน ไม่ใช่ใครตูดยาวนั่งเฝ้าออฟฟิศนานกว่ากัน!!