เชื่อว่าหลายคนเวลาพูดคุยกับคนที่แตกต่างกัน จะต้องมีลักษณะเสียงที่บ่งบอกความเป็นตัวตนต่างกันออกไปอย่างการคุยกับหัวหน้าหรือคนที่อายุมากกว่า คงใช้โทนเสียงที่มีความอ่อนน้อม หรือการพูดพรีเซนต์หน้าห้องต้องใช้โทนเสียงที่ดูจริงจังเป็นกิจจะลักษณะให้มากกว่าเดิม หรือการพูดกับเด็กเล็กๆ เราต้องดัดเสียงให้ดูเหมือนเราตัวเล็กเกือบเท่าเด็ก จะสังเกตได้ว่า เวลาเราพูดกับเด็กและสัตว์จะใช้โทนเสียงไปในลักษณะเดียวกัน แม้แต่เราคุยกับแฟนจะมีโทนเสียงอ้อน ปนน่าเอ็นดูเข้าไปด้วยเสมอ มันแตกต่างกับเสียงเวลาที่คุยกับเพื่อนอย่างสิ้นเชิง ซึ่งลักษณะนี้เรียกว่าเป็นกันแทบทุกคนเลยก็ว่าได้

ผู้เชี่ยวชาญ Emily Bray ปริญญาเอกด้านจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัย Pennsylvania ได้ศึกษาพฤติกรรมและทำความเข้าใจเกี่ยวกับการพูดต่อสุนัข Dog-directed speech (DDS) ไว้ว่า การที่เราใช้โทนเสียงที่มีความสูงแหลม จะทำให้สุนัขเกิดความเข้าใจว่า สิ่งนี้แสดงถึงความเป็นมิตรเป็นกันเอง และเสียงในโทนนี้จะทำให้เขาเกิดความสนใจ รู้สึกตื่นเต้น และจะสื่อสารตอบกลับโดยทำเสียงหงิงๆ ใส่ เหมือนเป็นการตอบโต้คำพูดของเรานั่นเอง ซึ่ง McConnell ผู้เชี่ยวชาญอีกคนได้บอกว่า เราไม่ควรใช้โทนเสียงเดิมตลอดเวลา หากเราต้องการสื่อสารในรูปแบบต่างกัน เช่น อยากให้สุนัขเชื่อฟังคำสั่งบางอย่าง โทนเสียงจะต้องลดต่ำลง นั่นจะช่วยให้เขามีอารมณ์สงบและเชื่อฟังคำนั้นมากขึ้น ดังนั้นการเลือกโทนเสียงที่เหมาะ จะช่วยให้เราสื่อสารกับสัตว์เลี้ยงได้ดียิ่งขึ้น

...

สอดคล้องกับ Courtney Glashow นักจิตวิทยาเจ้าของสถาบัน Anchor Therapy สหรัฐอเมริกา บอกไว้ว่าการที่เราพูดเสียงเล็กเสียงน้อย (Baby Talk, Baby Voice) เกิดขึ้นจากสัญชาตญาณในตัวเราทุกคน เมื่อต้องการพูดกับเด็กเล็ก เราทุกคนจะใช้โทนเสียงที่แหลม พูดซ้ำคำเดิมๆ วนไปวนมา และมีชุดคำอยู่ไม่กี่ชุด ส่วนมากจะใช้ท่าทางประกอบคำพูดไปด้วย ซึ่งลักษณะแบบนี้จะทำให้เด็กรับรู้ได้ว่า เรากำลังให้ความรักความเข้าใจ และมีความเป็นมิตรมากขึ้นด้วย

ในขณะเดียวกันการที่เราใช้เสียงโทนสูงก็ยังใช้พูดกับหัวหน้า หรือผู้บังคับบัญชาอีกด้วย เพื่อเป็นการแสดงออกถึงความอ่อนน้อม และเป็นสัญญาณสื่อสารถึงความเป็นมิตร เช่นเดียวกับที่เด็กรู้สึก แต่ในโทนเสียงนั้นอาจจะไม่แหลมและสูงเท่าที่คุยกับเด็ก แต่การพูดจะมีความจริงจังมากขึ้น แต่ถ้าเรารู้สึกว่า กำลังพูดคุยกับคนที่มีอำนาจเท่ากัน หรือรู้สึกว่าตัวเองก็มีพาวเวอร์มากพอ จะใช้โทนเสียงปกติในการพูดคุย หรือจะกดโทนเสียงให้ดูต่ำลงเล็กน้อย เพื่อเป็นการแสดงออกถึงบทบาทในสังคม

ซึ่งการใช้เสียงยังสอดคล้องไปถึงเรื่องเพศอีกด้วย พบในกลุ่ม LGBT จะมีการใช้เสียงที่เน้นทอดเสียงในช่วงท้ายคำพูดให้ดูมีความขี้เล่น เพื่อแสดงถึงการหยอกล้อกันคุยเล่นให้เกิดความสนุกสนาน และมีการเน้นเสียงคำให้มีโทนเสียงที่สูงกว่าปกติ รวมไปถึงการดัดเสียงให้สอดคล้องกับคำพูดและท่าทาง หรือการสร้างคำใหม่ขึ้นมาใช้เฉพาะกลุ่มด้วยนะคะซึ่งในการวิจัยบอกไว้ว่าในกลุ่มนี้จะมีความพิเศษที่ว่าเป็นการผสมผสานระหว่างเพศหญิงและเพศชาย ทำให้โทนเสียงมีความสูง หรือต่ำมากกว่าปกติทั่วไป จะเห็นว่าเวลาพวกเขาเล่าเรื่องอะไร จะมีความสนุกสนานปนเฮฮา และเล่าเรื่องได้ถึงพริกถึงขิง สัมผัสได้ถึงอรรถรสอย่างเต็มที่


นอกจากนี้โทนเสียง วิธีการพูดยังบ่งบอกได้ว่า คุณเป็นคนประเภท Extrovert หรือ Introvert ได้ด้วย โดยคนที่เป็น Extrovert จะเป็นคนที่มีลักษณะพูดเสียงดังและพูดจารวดเร็ว ส่วนคนที่มีลักษณะ Introvert จะมีลักษณะพูดช้า และค่อนข้างจะพูดไปในเสียงที่เบา บางครั้งเราก็แทบไม่ได้ยินเลยทีเดียวค่ะ

สรุปแล้วโทนเสียงสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามบริบทที่เราอยากให้เป็น เช่นวันไหนอยากเป็นคนที่ให้ความรู้สึกสนุกสนานร่าเริง จะใช้โทนเสียงที่สูงขึ้นมากกว่าปกติ หรือวันไหนอยากเป็นคนง่ายๆ สบายๆ ก็ใช้โทนเสียงระดับกลางปกติที่เป็นตัวเอง แต่วันไหนต้องการเพิ่มความน่าเชื่อถือให้ตัวเอง ให้ใช้โทนเสียงที่ต่ำกว่าเดิม จะช่วยให้เราดูน่าเชื่อถือมากขึ้น