(ภาพ) โคโยตี้ ในตำนานชนพื้นเมืองอเมริกัน.
คอลัมน์ไทยรัฐซันเดย์สเปเชียลโดยทีมงานนิตยสารต่วย’ตูนเคยเสนอสัตว์ในตำนานปรัมปราหลากหลายชนิดไปหลายชนิดแล้ว วันนี้เรามาเล่าเรื่องราวของสัตว์ใกล้ชิดมนุษย์อย่างเจ้าหมากันบ้าง มีทั้งหมามหัศจรรย์และหมานรกที่เกี่ยวกับความตาย ตำนานทางฟากตะวันตกนี่เขามีสัตว์ประหลาดเยอะจริงนะครับ
โคโยตี้ (coyote)
ก่อนอื่น เรามาดูที่อเมริกากันหน่อย แต่เป็นอเมริกาของชนอินเดียนแดงพื้นเมืองนะครับ ที่นี่มีหมาประหลาดตัวหนึ่งเรียกว่า โคโยตี้ อืม...ไม่ใช่โคโยตี้สาวนักเต้นที่ท่านผู้อ่านคุ้นเคยในปัจจุบันนะครับ เป็นโคโยตี้ที่เป็นหมาวิเศษ
อันที่จริงพื้นป่าแถวอเมริกาเหนือมีโคโยตี้ หรือหมาป่าพื้นเมืองด้วย แต่ก็ยังเป็นโคโยตี้คนละตัวที่กำลังจะเล่านี่อีก โดยที่คำว่า “โคโยตี้ (coyote)” เพี้ยนจากคำที่พวกสเปนเรียก โคโยทัล (coyotl) ตามภาษาของชนเผ่าแอซเทค ซึ่งแปลว่า “สัตว์”
โคโยตี้เป็นสิ่งมีชีวิตสำคัญตัวหนึ่งตามตำนานชนเผ่าพื้นเมืองอเมริกัน ทุกเผ่ามีตำนานเกี่ยวกับเจ้าตัวนี้ ลักษณะโดยทั่วไปของมันเหมือนหมาป่าขนดก หูแหลม ตาเหลือง มีกรงเล็บและหางเหมือนหมาโคโยตี้ทั่วไป แต่สามารถพูดและทำเหมือนมนุษย์ได้ เลื่องชื่อในด้านไหวพริบ ความฉลาด แม้จะเป็นความฉลาดแบบเจ้าเล่ห์ มีความกระหายหิวไม่รู้จักพอ
โคโยตี้ แม้จะมีความเหมือนกันโดยทั่วไป แต่ก็แตกต่างกันไปในตำนานแต่ละเผ่า บางแห่งโคโยตี้ก็เป็นฮีโร่ทางวัฒนธรรม เป็นถึงผู้สร้าง ผู้สอน และช่วยเหลือมนุษย์ แต่ในบางเผ่าก็ถือว่าเป็นสัตว์จอมเพทุบาย เต็มไปด้วยความโลภ ความประมาท และความเย่อหยิ่ง ยังดีที่มีไหวพริบพลิกสถานการณ์จนเอาตัวรอดได้ บางแห่งเช่นในอาณาจักรแอซเทค โคโยตี้มีรูปร่างแปลกออกไป เป็นผู้ชายที่มีหัวเป็นสุนัขโคโยตี้ และเป็นสัญลักษณ์ทางทหารเสียอีก จนทหารในยุคเตโอติอัวกันแห่งอาณาจักรแอซเทคแต่งตัวเลียนแบบโคโยตี้เพื่อเรียกพลังและความกล้า
...
ชาวอเมริกันอินเดียนต่างมีนิยายของชนเผ่าเรื่องโคโยตี้นับเป็นสิบๆเรื่อง อย่างชนเผ่านาวาโฮเล่าว่า เคยมียักษ์ท่องเที่ยวไปในโลก ฆ่าคนกินเป็นอาหารอย่างสำราญใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กๆ พฤติกรรมนี้ทำให้โคโยตี้ไม่ชอบใจ ว่าแล้วมันออกไปเจอกับยักษ์พูดจาหว่านล้อม ให้ช่วยสร้างกระท่อมอบไอน้ำร้อน โคโยตี้โอ่ให้ยักษ์ฟังว่า มันต้องใช้ห้องอบให้เหงื่อแตกเพื่อทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรง เพื่อจะล่าเหยื่อได้ว่องไว ว่าแล้วมันก็ชักชวนยักษ์ให้มาอบไอน้ำด้วยกัน และอ้างว่าการอบร้อนจนเหงื่อแตกจะทำให้อสูรนั้นว่องไวเหมือนโคโยตี้ ยักษ์ก็เชื่อตามนั้น
พอยักษ์ช่วยสร้างกระท่อมจนเสร็จ โคโยตี้ก็ชวนมันเข้าไปในกระท่อม ที่นั่นเต็มไปด้วยไอน้ำและมืดมิด เสียงโคโยตี้บอกยักษ์ว่ามันจะเสกมนตร์วิเศษให้ดูอย่างหนึ่ง ว่าแล้วมันก็ทำเสียงเหมือนเอาหินมาทุบขาตนเองหัก โดยการทุบขากวางที่ซ่อนเอาไว้ในกระท่อมก่อนแล้ว ยักษ์มองไม่เห็นแต่มันก็ได้ยินเสียงกระดูกหักชัดเจน จากนั้นเจ้าโคโยตี้ก็สาธยายต่อว่ามันจะรักษาตัวเองด้วยมนตร์วิเศษ ต่อจากนี้ขาของมันก็จะแข็งแรงกว่าเดิม ว่าแล้วมันก็ทำเป็นร่ายมนตร์ และให้ยักษ์พิสูจน์ว่ามนตร์ของมันใช้ได้แน่ ด้วยการให้ยักษ์ลองจับขามันดู ยักษ์ร้ายหลงกล พอมันลูบขาโคโยตี้เห็นว่าเหมือนเดิมก็รู้สึกทึ่ง
“อยากลองดูบ้างไหม” โคโยตี้ว่า ยักษ์ตกลง หมาป่าจึงทุบขายักษ์ด้วยหินจนกระทั่งกระดูกแตก ยักษ์เจ็บปวดโอดโอยแต่มันก็เชื่อว่าจะกลับเป็นเหมือนเดิม
“ถ่มน้ำลายของเจ้าใส่ขาสิ แค่นั้นก็รักษาได้แล้ว” ยักษ์ก็ถ่มน้ำลายตามที่โคโยตี้ว่าจนกระทั่งปากแห้ง แต่ขาของมันก็ยังหัก มันเรียกหาโคโยตี้ด้วยความโกรธ แต่ในเวลานั้นเจ้าโคโยตี้ไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว มันไหลลื่นหนีไปจากกระท่อม ปล่อยให้เจ้ายักษ์ทนทุกข์ทรมานคลานอยู่ภายในกระท่อมนั่นเอง...
คูชี (Cu Sith)
ตัวนี้เป็นสุนัขขนาดใหญ่เท่าลูกวัวในตำนานของถิ่นสูงสกอตแลนด์ กล่าวกันว่า คูชีมีลักษณะของสุนัข แต่มีขนาดพอๆกับกระทิงตัวเล็ก ขนของมันดกมีสีเขียว (บางที่ก็ว่าขาว) หางยาวมากขดหรือถักเป็นเปียทีเดียว อุ้งเท้าของมันกว้างพอๆกับมือมนุษย์
คูชีอาศัยซ่อนอยู่ตามซอกหิน หรือก้อนหินเว้าแหว่ง รอยเท้าขนาดใหญ่ของคูชีอาจพบเจอได้ตามโคลน ในหิมะ หรือบนพื้นทรายบนเกาะฮาร์รีส ในสกอตแลนด์ มันจะเดินเตร่ไปตามทุ่งหญ้าที่ราบสูง บนเนินแฟรี่ที่นั่นเป็นที่รู้กันว่ามักจะพบรอยเท้าขนาดใหญ่บนพื้นทรายแฉะ และรอยนั้นจะจู่ๆหายไปแค่ครึ่งทางเสมอ
คูชีเป็นลางแห่งความตาย ใครก็ตามที่พบมันก็เท่ากับพบลางมรณะ มันจะปรากฏเพื่อแบกวิญญาณคนไปสู่ชีวิตหลังความตาย ตามตำนาน เจ้าสิ่งมีชีวิตตัวนี้สามารถออกล่าด้วยความเงียบ แต่เมื่อไหร่ที่มันส่งเสียงหอนสามครั้ง ซึ่งจะดังจนได้ยินไปไกลหลายไมล์ แม้แต่ไกลออกไปถึงทะเล ใครก็ตามที่ได้ยินเสียงหอนของ
...
คูชีต้องรีบหาที่ปลอดภัยก่อนเสียงหอนครั้งที่สาม มิฉะนั้นอาจจะถึงแก่อาการหวาดกลัวจนสิ้นใจ อีกตำนานหนึ่งเล่ากันว่าชาวบ้านที่ได้ยินเสียงเห่าของคูชี ก็เหมือนเสียงเตือนให้รีบพาตัวหญิงที่กำลังให้นมลูก หรือบรรดาลูกหลานและคนในครอบครัวที่เป็นผู้หญิงไปไว้ในที่ปลอดภัย เพราะนั่นคือสัญญาณของคูชีที่จะออกมาทำหน้าที่จับผู้หญิงกลับไปสู่ดินแดนของชาวแฟรี่ นำไปเลี้ยงเด็กๆของพวกพราย
ต่อไปเป็นหมานรก ซึ่งมีอยู่ในภูมิภาคต่างๆบนโลกเยอะแยะทีเดียว แต่จะว่าที่มีหมานรกอยู่หลายตัวหลายแบบ เห็นจะเป็นอังกฤษในแถบต่างๆ ที่นี่มีหมานรกแบบนี้อยู่หลายชนิด เช่น หมาบาร์เกส (Barghest) ของอังกฤษเหนือ ในแถบยอร์คเชียร์ สามารถแปลงตัวเป็นผู้ชายหัวขาด และหายตัวไปในกองไฟได้ หรือหมาแบล็คชัค (Black Shuck) หมาดำ ซึ่งบางสำนวนว่ามีตาเดียวอยู่กลางหน้าผาก
หมานรก (Hellhound)
...
หมานรก เป็นสุนัขที่มีพลังเหนือปกติและเหนือธรรมชาติในความเชื่อพื้นบ้าน มีลักษณะแตกต่างกันไปในแต่ละถิ่นที่ ดังจะเห็นได้จากเทพนิยายทั่วโลก ลักษณะเฉพาะของหมานรกพวกนี้คือมักมีลักษณะและขนาดประหลาดกว่าปกติ หมานรกบางอย่างใหญ่ก็ใหญ่พอๆกับม้าแคระหรือหมี ส่วนใหญ่มักมีขนสีดำเหมือนถ่านหิน ดวงตาก็เปล่งประกายลุกเรือง (อาจเป็นสีแดงฉานเหมือนเปลวไฟ หรือเรืองเป็นสีเขียวก็ได้) แต่ก็ใช่ว่าจะเห็นตัวมันเสมอไปครับ เนื่องจากพวกมันส่วนใหญ่เป็นสัตว์กลางคืน ขนสีดำของมันจึงกลมกลืนไปกับความมืดมิดในยามราตรี สิ่งจะบอกถึงตัวมันยังมีอีกอย่างคือ หากได้กลิ่นเหม็นเหมือนผีหรือเหมือนกำมะถัน ก็อาจแปลว่ามีหมานรกอยู่แถวนั้น หรือหากสังเกตเห็นร่องรอยของพื้นดินที่ไหม้เกรียมคล้ายมีไฟลุกตัดหน้า ก็แปลได้ว่า มีหมานรกเดินผ่านไปแล้ว
ในวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงชีวิตหลังความตายกับไฟ หมานรกอาจมีความสามารถและรูปร่างหน้าตาที่เป็นไฟ หรือสามารถเล่นกับเปลวไฟโดยไม่หวาดหวั่น มันอาจทิ้งรอยไหม้แผดเผาพื้นดินที่เดิน และกรงเล็บของพวกมันก็ร้อนเหมือนเปลวไฟ พวกมันมีความเร็วและความแข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อ สามารถอำพรางตนด้วยวิธีเสกหมอกปกคลุม หมานรกแปลงตัวไปในรูปแบบต่างๆ หรือแม้แต่หายไปในอากาศ แต่แม้จะมีรูปลักษณ์ที่ดุร้าย หมานรกส่วนใหญ่นั้นลึกลับ มันไม่ค่อยยุ่งกับคนถ้าไม่จำเป็น และจะใช้วิธีหายตัวไปก่อนที่คนจะทันทำอะไร
...
หมานรกบางอย่างมักจะได้รับมอบหมายให้ปกป้องทางเข้าสู่โลกแห่งความตาย เช่น สุสานและบริเวณฝังศพ หรือทำหน้าที่อื่นๆที่เกี่ยวข้องกับชีวิตหลังความตาย หรือชีวิตเหนือธรรมชาติ เช่น การล่าวิญญาณ หรือปกป้องสมบัติเหนือธรรมชาติ ปกป้องความลับของสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติจากสิ่งมีชีวิตต่างๆในโลก
ในตำนานยุโรป การได้เห็นหมานรกหรือได้ยินเสียงหอน คือสัมผัสแห่งความตาย ชาวอังกฤษเชื่อว่าหากเห็นพวกมันครั้งหนึ่ง โอกาสที่จะเจริญก้าวหน้าในปีต่อไปจะหมดลง แต่หากเห็นมันถึงสามครั้งก็หมายถึงความตายของคนคนนั้น
ผมขอนำตัวอย่างหมานรกมาเล่าให้ท่านผู้อ่านฟังสักตัวหนึ่งก็แล้วกัน หมานรกตัวที่ว่าเป็นของชาวเวลส์เรียกกันว่า คูน อานูน (Cŵn Annwn)
นิยายพื้นบ้านของชาว เวลส์กล่าวว่า คูน อานูน เป็นสุนัขผีสีขาวของแอนนูน (Annwn) โลกอีกแห่งหนึ่ง มันจะร่วมล่าวิญญาณมนุษย์ในป่ากับ กวิน แอ็บ นีด (Gwyn ap Nudd) ราชาแห่งทัลลอต เทก (Tylwyth Teg) ผู้มีใบหน้าดำคล้ำลึกราวกับราตรีมืดมิด ราชากวินเป็นผู้นำกลุ่มบริวาร โดยมี คูน อานูน นำทาง เสียงหอนจากหมาล่าวิญญาณของกวินเป็นลางแห่งความตายที่ใกล้เข้ามา กลุ่มล่าจะออกล่าตั้งแต่คริสต์มาสถึงคืนที่ 12 ในขณะที่ลมพัดอย่างรุนแรง หญิงชราผู้ร่วมขบวนฉายา “Matilda of the Night” จะส่งเสียงกรีดร้องและคร่ำครวญกระตุ้นสุนัขเป็นพักๆ หากคณะล่าวิญญาณมาบรรจบกันที่ทางแยกและมีเท้าคู่ใดดันเหยียบลงบนต้นแมนเดรคมันก็จะส่งเสียงกรีดร้องในตอนกลางคืนเพิ่มความน่ากลัวมากขึ้น ดังนั้นแต่ละเสียงที่ส่งออกมารวมกัน ล้วนชวนขนลุกด้วยความสยอง
คูน อานูน เป็นสุนัขสีขาว มีหูสีแดง ชาวเคลท์ใช้สีแดงกับความตาย ส่วนสีขาวใช้เกี่ยวข้องกับสิ่งเหนือธรรมชาติ ดังนั้นสัตว์สีขาวมักมีเทพหรือผู้ที่อาศัยอยู่ในโลกอื่นเป็นเจ้าของ ดังนั้นคูน อานูน จึงเกี่ยวข้องกับความตายและสิ่งเหนือธรรมชาติ
วันนี้พื้นที่มีจำกัด โอกาสหน้าจะนำเรื่องเล่าของสัตว์ประหลาดประเภทอื่นมานำเสนอกันอีกนะครับ.
โดย : คอสมอส
ทีมงานนิตยสารต่วย'ตูน