แม้เทคโนโลยีทางการแพทย์จะรุดหน้าไปมาก แต่เมื่อพูดถึง “มะเร็ง” ก็ยังคงเป็นโรคที่ครองแชมป์อันดับต้นในการคร่าชีวิตคนมากมายในแต่ละปี

ข้อมูลจาก องค์การอนามัยโลก ระบุว่า ทุกๆปีจะมีผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่เพิ่มขึ้นทั่วโลก ประมาณ 14 ล้านคน และเสียชีวิต ถึงปีละ 9-10 ล้านคน

ในประเทศไทยข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า มะเร็งยังคงเป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 ของคนไทย โดยมีคนไทยเสียชีวิตจากโรคนี้ปีละกว่า 67,000 คน เฉลี่ยชั่วโมงละ 8 คน

ด้วยความรุนแรงของโรค และการเสียชีวิตที่มีจำนวนมากนี้เอง ที่ทำให้แพทย์ นักวิจัย และนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกตื่นตัวที่จะหาทางเอาชนะโรคร้ายนี้

แม้แต่อดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา ของสหรัฐอเมริกา ยังได้ประกาศสนับสนุน โครงการวิจัย “Cancer MoonShot 2020” ตั้งเป้าเอาชนะโรคมะเร็งให้ได้อย่างเด็ดขาด ด้วยวิธีที่เรียกว่า “ภูมิคุ้มกันบำบัด” (Natural Immunotherapy) ให้ได้ภายในปี 2020 และได้มอบเงินทุนวิจัยเพื่อการนี้ถึง 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

โดยมุ่งหวังจะให้โครงการดังกล่าว เป็นเสมือนก้าวย่างอันยิ่งใหญ่ที่จะเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ เช่นเดียวกับการประกาศส่งมนุษย์ไปดวงจันทร์ในสมัยประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคนเนดี ในปี 1961 ซึ่งนำไปสู่ความสำเร็จในที่สุด

...

ภูมิคุ้มกันบำบัด (Natural Immunotherapy) ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงในช่วงระยะเวลาหลายปีมานี้ โดยล่าสุด สำนักข่าวบีบีซีนำเสนอ ข่าววิศวกรหญิงชาวอเมริกันวัย 49 ปี จูดี้ เพอร์กินส์ ในฐานะผู้ป่วยมะเร็งเต้านมระยะสุดท้ายคนแรกของโลกที่หายขาดด้วยการรักษาแบบ “ภูมิคุ้มกันบำบัด” หรือ Immunotherapy

นพ.สตีเฟน โรเซนเบิร์ก หัวหน้าศัลยแพทย์ของสถาบันมะเร็งแห่งชาติสหรัฐฯ บอกว่า วิธีภูมิคุ้มกันบำบัดมีศักยภาพสูงในการเป็นยารักษา โรคมะเร็ง ซึ่งใช้ได้อย่างครอบคลุมและมีประสิทธิภาพกับมะเร็งทุกชนิด

วารสาร Nature Medicine รายงานว่า เซลล์มะเร็งในร่างกายของเพอร์กินส์ถูกทำลายจนหมด หลังจากแพทย์ใช้วิธีทำให้เซลล์ภูมิคุ้มกันหรือที-เซลล์ (T-cell) ในร่างกายของเธอเอง กลายเป็นเซลล์นักฆ่าที่ออกค้นหาและทำลายเซลล์มะเร็งอย่างมีประสิทธิภาพ

ภูมิคุ้มกันบำบัด คืออะไร...?

ศ.ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา หัวหน้าคณะนักวิจัย Operation BIM ที่ได้ศึกษาวิจัยวิธีพิชิตเซลล์มะเร็งด้วย “ภูมิคุ้มกันบำบัด” (Natural Immunotherapy) จนประสบความสำเร็จมาตั้งแต่ปี ค.ศ.2008 อธิบายว่า Natural Immunotherapy หรือการรักษาโรคด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด คือ การเข้าไปกระตุ้นเสริมสร้างประสิทธิภาพการทำงานหรือยับยั้งการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันให้อยู่ในภาวะสมดุลไม่มากไม่น้อยเกินไป เรียกว่าเป็นการใช้กลไกธรรมชาติหรือเม็ดเลือดขาวที่มีอยู่ราว 20,000-55,000 ล้านเม็ด ซึ่งเป็นกองทัพที่ยิ่งใหญ่ที่ธรรมชาติสร้างมาให้เราต่อสู้กับโรคด้วยตัวเอง เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายใช้กลไกธรรมชาติที่มีต่อสู้กับโรคด้วยตัวเอง

“จริงเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ ในประเทศไทยเองมีการวิจัยเรื่องนี้มานานมากแล้ว เพียงแต่อาจจะไม่เหมือนในต่างประเทศ” ดร.พิเชษฐ์บอก พร้อมกับให้ข้อมูลว่า ในสหรัฐอเมริกาที่มีการรายงาน ข่าวออกไปแล้วนั้น แพทย์ใช้วิธีผ่าตัดนำชิ้นส่วนเนื้อร้ายออกมาวิเคราะห์พันธุกรรมว่ามียีนกลายพันธุ์ในส่วนใด ที่เซลล์ภูมิคุ้มกันของคนไข้จะพอมองเห็นและเข้าโจมตีได้บ้าง จากนั้นก็มองหาเซลล์ภูมิคุ้มกันส่วนน้อยที่ได้ผ่านเข้าไปโจมตีเซลล์มะเร็งแล้วจากชิ้นส่วนเนื้อร้ายของคนไข้ แล้วจึงนำเซลล์ภูมิคุ้มกันที่มีประสบการณ์โจมตีเซลล์มะเร็งแล้วนี้ไปเพาะให้มีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็นหลายพันล้านเซลล์ ก่อนจะนำมาคัดเลือกเอาแต่ที่มีคุณสมบัติสามารถมุ่งเป้าโจมตียีนกลายพันธุ์ในส่วนที่เป็นจุดอ่อนของเซลล์มะเร็งได้

แล้วจึงฉีดเซลล์ภูมิคุ้มกัน 9 หมื่นล้านเซลล์ที่ผ่านการเพาะและคัดเลือกแล้วนี้ กลับเข้าไปในร่างกายของคนไข้ ซึ่งก็พบว่าหนึ่งสัปดาห์ต่อมาคนไข้มีอาการดีขึ้นก้อนเนื้อในทรวงอกยุบตัวเล็กลงและหายไปภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์

หัวหน้าคณะนักวิจัย Operation BIM บอกว่า ในประเทศไทยมีการวิจัยในห้องปฏิบัติการอย่างต่อเนื่องกว่า 39 ปี โดยค้นพบว่ามีสารกลุ่ม Xanthones ที่มีสรรพคุณในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันเพื่อเข้าไปบำบัดโรคมีคุณสมบัติเพิ่มความสามารถของเม็ดเลือดขาวในการกำจัดสิ่งแปลกปลอมได้ดี จริงๆแล้วมีอยู่ในธรรมชาติ

โดยเฉพาะผลไม้ไทยโดยพบว่าสาร GM-1 ในมังคุดมีคุณสมบัติเพิ่มความสามารถของเม็ดเลือดขาวในการต่อสู้กับโรคร้ายโดยเฉพาะมะเร็งได้ดี ยิ่งเมื่อนำมาเสริมฤทธิ์ด้วยสารสกัดจากพืชและผลไม้อีก 4 ชนิด คือ ถั่วเหลือง งาดำ ฝรั่ง และบัวบก ยังพบว่ามีประสิทธิภาพสูงมากขึ้นในการกระตุ้นการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด Th1, Th9, Th17 และ Interleukin-18

...

“เซลล์เม็ดเลือดขาวเหล่านี้ จริงๆก็คือ เซลล์ภูมิคุ้มกัน หรือที่เรียกว่าที เซลล์ ซึ่งเป็นเซลล์ชนิดเดียวกับที่แพทย์ในอเมริกาฉีดกลับเข้าไปให้คนไข้ในการต่อสู้กับมะเร็งทำหน้าที่เสมือนกองทหารสื่อสาร ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการฆ่าเซลล์มะเร็งของเม็ดเลือดขาวกลุ่มเพชฌฆาต Cytotoxic T-Cell อย่างเห็นได้ชัด”

ศ.ดร.พิเชษฐ์ บอกว่า แม้ว่าการผ่าตัด การฉายรังสี และเคมีบำบัด จะเป็นวิธีการรักษาโรคมะเร็งที่วงการแพทย์ปัจจุบันยอมรับว่ามีประสิทธิภาพมากที่สุด แต่ด้วยผลข้างเคียงที่ค่อนข้างรุนแรงต่อผู้ป่วย เช่น คลื่นไส้
ผมร่วง และการกดภูมิคุ้มกัน ทำให้ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา

วงการแพทย์ทั่วโลกพยายามหาวิธีใหม่ๆในการเอาชนะมะเร็ง ความสำเร็จที่เกิดกับผู้ป่วยชาว อเมริกันคราวนี้ จะเป็นการจุดประกายให้วิธีที่เรียกว่า “ภูมิคุ้มกันบำบัด” ได้รับการยอมรับมากขึ้น ทั้งในแง่การรักษา และการลดผลข้างเคียงต่างๆในการต่อสู้กับโรคมะเร็ง.