ออฟฟิศ สำนักงานสวยๆ ต้องยกให้ที่นี่ บริษัท อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ จำกัด (มหาชน) ที่วันนี้ โฮมมี่ จะพาทุกคนไปส่องสำนักงานอีเวนต์ระดับโลก เพราะเชื่อว่าที่นี่เป็นอีก 1 ในสถานที่ทำงานสวยๆ ของเมืองไทย เราไปดูสิ ว่าน่าทำงานด้วยแค่ไหน

สำหรับครั้งนี้โชคดีมากๆ เราได้เจ้าพ่ออีเวนต์ "หมอก เกรียงกานต์ กาญจนะโภคิน" ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม มาพาเดินชมทุกซอกทุกมุมของบริษัทสวยๆ แห่งนี้ พร้อมกับพูดคุยเรื่องราวต่างๆ มากมาย เราไปฟังแนวคิดกันก่อน 

คอนเซปต์ในการทำงาน

ด้วยคอนเซปต์ของบริษัทเราคือ Never Stop Creating เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่เราต้องคิด เราต้องทำ มันหยุดนิ่งไม่ได้ ลูกค้าบางคนอยู่กับเราตั้งแต่เริ่มก่อตั้งบริษัท ก็จะเห็นงานของเรามาตลอด เพราะฉะนั้นสิ่งหนึ่งที่ลูกค้าคาดหวังกับเรามาตลอดก็คือ อินเด็กซ์ มีความคิดสร้างสรรค์มาก อินเด็กซ์ มีอะไรใหม่ๆ ที่คนอื่นไม่มีเสมอ ทั้งในเรื่องของนวัตกรรม ทั้งในเรื่องของความคิดสร้างสรรค์ มันทำให้เราสามารถอยู่ในธุรกิจและโดดเด่น แตกต่างกว่าคนอื่นในตลาดได้ นี่คือจุดขายของเรามาตลอด

...

สไตล์บริษัท

ในแง่ของสไตล์การทำงานของเรา ทั้งองค์กรก็จะต้องถูกขับเคลื่อนให้คนเชื่อ ผมสอนน้องๆ เสมอว่า สิ่งที่ทำวันนี้ที่ว่าดีแล้ว พรุ่งนี้จะต้องมีสิ่งที่ดีกว่าเสมอ ผมจึงอยากจะให้น้องคิดว่า เราต้องทำอย่างไรที่จะผลักดันให้ไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ใช่แค่ฝั่งคนคิดงาน แต่ฝั่งบุคคล บัญชี ก็ต้องไปในทิศทางเดียวกัน เพราะทุกอย่างมันพัฒนาได้ มันหยุดนิ่งไม่ได้ แล้วยิ่งโลกมันหมุนเร็วขนาดนี้ ถ้าเราหยุดนิ่งบริษัทมันก็จะล้าหลัง

ดูแลลูกน้องพนักงาน

ผมเปรียบเทียบว่า ผมมีหมวก 2 ใบ หมวกใบแรกคือการบริหาร เราก็ต้องดูเรื่องการขับเคลื่อนองค์กร ไม่ว่าจะเป็นยอดขาย การควบคุมต้นทุน หมวกอีกใบหนึ่งคือเรื่องครีเอทีฟ ซึ่งในแง่ของครีเอทีฟ คุณไม่สามารถใช้หมวกของซีอีโอนั่งได้ ถ้าเป็นการจัดการคุณสั่งได้ แต่ถ้าเป็นการการประชุมครีเอทีฟ ทุกคนต้องเท่ากัน เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกคนได้โยนไอเดียเข้ามา เพราะถ้าผมยังคงใส่แต่หมวกซีอีโอ มันก็ไม่มีประโยชน์ เท่ากับว่าพี่พูดแล้ว ทุกคนต้องฟัง มันก็จบ แต่ถ้าทำงานให้ลูกค้า ก็ต้องดูว่าวัตถุประสงค์คืออะไร คอนเซปต์สินค้าคืออะไร ควรจะคิดงานไปในแนวไหน นี่เป็นสิ่งที่เราต้องผลักดันเสมอเวลาประชุม

ประชุมสำคัญ

ผมชอบการประชุมที่ทุกคนพูด ทุกคนออกไอเดีย แม้กระทั่งเอาเด็กฝึกงานมานั่งฟังด้วย เพื่อถามความเห็นว่า รุ่นพวกคุณคิดยังไง เพราะเด็กเจเนอเรชั่นใหม่ อาจจะมีมุมมองความคิดไม่เหมือนเรา ถูก ผิด ไม่ว่ากัน เพราะบางทีไอเดีย มันไม่มีผิด ไม่มีถูก หรือบางทีมันอาจจะถูกกับผลิตภัณฑ์ชิ้นนั้น ไอเดียเดียวกัน แต่พอไปอยู่กับอีกอันมันก็ผิด มันไม่มีสูตรสำเร็จอยู่แล้วในงาน

...

งานที่ได้จากเด็กฝึกงาน

จำได้ผมเคยมานั่งพัฒนางานอันหนึ่งเป็นของเล่นฟองสบู่ ก็มีเด็กฝึกงานบอกว่า นี่หนูเคยเล่นตอนเด็กค่ะ มันเรียกแบบนี้ ซึ่งมันทำให้เราต้องมานั่งเสียเวลาค้นหาข้อมูลว่าให้ของเล่นชิ้นนี้ มันมาจากที่ไหน มันมีขายที่ไหน มันทำให้เราประหยัดเวลา ซึ่งถ้าไม่มีเด็กฝึกงานวันนั้น ก็จะทำให้เราเสียเวลาได้ ซึ่งบางทีประสบการณ์ที่มันแตกต่าง มันช่วยให้เราทำงานง่ายขึ้น หรือไลฟ์ไสไตล์ของเด็กรุ่นใหม่เป็นไงบ้าง มันเหมือนเราได้ข้อมูลจากเขา

...

จุดแข็ง!! 

Creative innovation ผมตั้งเป้าทุกปีว่า ทุกปีต้องมี New Idea หรือ Innovation ซึ่งนวัตกรรมเราอาจจะเป็นสิ่งที่เราคิดเอง ผลิตขึ้นเอง หรือซื้อก็ได้ บางทีไปเห็นเมืองนอก ไอเดียดีลองเอามาคิดต่อ อาจจะเป็นเรื่องของเทคโนโลยีหรืออะไรต่างๆ ทั้งหลาย มันไม่ได้มีแค่เรื่องของไอเดียอย่างเดียว ซึ่งผมตั้งเป้าไว้เลยว่า ในหนึ่งปีต้องอย่างน้อย 1 ชิ้น

มากกว่าสินค้า

อย่างปีนี้ทีมค้นคว้าและพัฒนาของเราต้องเหนื่อยหน่อย เพราะว่าไอเดียเราเยอะมาก ที่เราจะทำให้เราทำของชิ้นใหม่ๆ ขึ้นมา ซึ่งพอลูกค้ามาเห็น เขาก็จะมองว่า อินเด็กซ์แจ๋วมาก เวลามีลูกค้าหรือสถาบันต่างๆ เชิญไปพูด เขาก็จะไม่ให้พูดเรื่องอีเวนต์แล้วนะครับ เขาจะให้พูดเรื่องไอเดีย หรือบางทีก็ Innovation เลย มันก็แสดงให้เห็นถึงภาพพจน์ที่ลูกค้าเขามองเรา ว่าตัวเรา บริษัทเราเป็นอย่างไร

...

หัวใจของครีเอทีฟ 

ผมว่า...คนที่จะเป็นครีเอทีฟต้องไม่หยุดนิ่ง ไอเดียมันมีอยู่ทุกที่ ถ้าคุณได้มีโอกาสพูดคุยกับครีเอทีฟเก่งๆ ทั้งหลายในโลก แค่เดินถนน เขาก็จะเก็บเกี่ยวอะไรต่างๆ รอบตัวได้เยอะ เพราะคนมองสิ่งเดียวกัน แต่คิดไม่เหมือนกันนะ ไอเดียมันมีอยู่ทุกที่ เหมือนผมชอบดูหนัง หลายๆ เรื่องที่ผมดู บางทีผมหลุดเลย เฮ้ย! เอาไปทำงานได้นี่หวา หรือแม้กระทั่งโฆษณาบางตัวของฝรั่ง พอดูจบ ผมก็กลับมาค้นหาประวัติของโฆษณาชิ้นนั้น ผมว่า...นี่คือการสร้างแรงบันดาลใจให้เราได้

หนัง...ช่วยได้

ตัวผมชอบดูหนัง มันจะมีหนังหลายๆ เรื่อง ที่คนดูแล้วบอกว่าหนังไม่ได้เรื่อง แต่ผมก็ดู เพราะผมต้องการดูโปรดักชั่นดีไซน์ ผมไม่ได้ดูเนื้อหา หลังๆ ผมเริ่มผิดหวังกับหนังซุปเปอร์ฮีโร่หลายๆ เรื่อง เอฟเฟกต์มันเหมือนกันหมด เพราะเดี๋ยวนี้สเปเชี่ยลเอฟเฟกต์ มันใกล้เคียงกันหมด มันอยู่ที่คนคิด และจินตนาการว่า มีวิธีทำยังไงให้มุมมองมันเปลี่ยนไป แต่ส่วนตัวชอบหนังที่อ้างอิงมาจากความจริง เพราะมันมีที่มาที่ไป ชอบการเขียนบทด้วย

สไตล์ครีเอทีฟที่เข้าตา...

เวลาไปพรีเซนต์งานลูกค้า ผมจะนั่งฟังพวกรุ่นใหม่ อย่างมีลูกค้าคือไทยประกันชีวิต น้องเขาก็มาพรีเซนต์ ซึ่งยกตัวอย่างเรื่องของตูน ก้าวคนละก้าว เอามาวิเคราะห์ในแง่มุมอื่นๆ มากมาย บางครั้งเขาก็เป็นผู้นำ บางครั้งก็ต้องเป็นผู้ตาม พูดง่ายๆ คือเนื้อเรื่องที่เราจะพรีเซนต์ลูกค้าคือ ก้าวคนละก้าว มันมีเรื่องของการทำงานเป็นทีม การวิ่งที่สร้างแรงบันดาลใจ หรือบางทีตัวตูนเอง ก็ต้องเป็นผู้ตามเพื่อวิ่งให้เท่ากัน เขาก็จะวิเคราะห์ทุกมุม เพื่อที่จะมาเข้าเรื่องของลูกค้า ว่าการทำงานของคนเรา มันมีหลายๆ มุม โดยยกเรื่องตูนมาเล่า จากเรื่องเดียวที่คนพูดว่า ตูนเป็นฮีโร่ แต่น้องเขาเอามาวิเคราะห์มุมอื่น ซึ่งผมมองว่าน้องเก่งมาก เป็นวิธีพลิกมุมมองที่หลากหลาย ซึ่งอย่างนี้ส่วนตัวผมคิดว่า น่าผลักดัน ถ้าเขามีประสบการณ์เยอะขึ้น ก็จะยิ่งดี อย่างน้องบางคนอาจจะเริ่มมาแค่งานอย่างเดียว แต่ถ้าได้มีโอกาสเห็นเยอะๆ ถูกฝึกเยอะๆ วิธีคิดเขาก็จะกว้างขึ้น พอวันหนึ่งเขาได้เป็นครีเอทีฟระดับท็อปๆ ก็จะทำได้ครบทั้งหมด

ครีเอทีฟ...ที่ดี

อย่างแรกเลยคุณต้องมีความชอบก่อน ในตัวคุณเอง ถ้าคุณมีความชอบอะไร คุณทำงานก็เหมือนไม่ใช่งาน อย่างผมมาทำงานแต่เช้าเลย มานั่งดูยูทูบ หาอะไรแปลกๆ สมมติเราสนใจอันนี้ มันก็จะลึกลงไปเรื่อยๆ เพราะยูทูบมันก็จะขึ้นแนะนำวิดีโอใหม่ๆ เข้ามา เพราะว่า...ผมไม่รู้สึกว่าผมทำงานอยู่ มันเหมือนกับเราเป็นนักค้นคว้า เราก็จะได้ไอเดียอะไรใหม่ๆ เพราะคุณเริ่มมาจากคุณมีความชอบ คุณก็จะไม่คิดว่ามันคืองาน คุณก็จะอยากทำอะไรสารพัดไปหมด ผมว่า...นี่คือความสุขของการเป็นครีเอทีฟที่ดี

อยากเป็นครีเอทีฟ ต้องทำไง?

คุณต้องเริ่มจากตรงนี้ก่อน หัดสังเกต ลองเปลี่ยนมุมมอง ให้โจทย์ตัวเองว่า ถ้าสมมติเราไปเห็นงานโฆษณา หรืออีเวนต์ หรืออะไรก็แล้วแต่ หากต้องทำงานชิ้นนี้ มันมีมุมอื่นที่เราสามารถทำได้ไหม? เหมือนที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสไปงานแต่งงานน้องที่ออฟฟิศมา แล้วผมเห็นลูกโป่งที่ตกแต่งในงาน แล้วมันดูน่ารักดี แล้วผมก็มาคิดต่อว่า ของพวกนี้มันต่อยอดได้ เรามีเทคโนโลยีที่จะควบคุมมันได้ ซึ่งมันก็ไม่ใช่อะไรที่ยุ่งยาก ไม่อย่างนั้น...ถ้าคุณไปก๊อบปี้เขามา คุณก็ได้แค่วางๆ แต่ถ้าคุณเอามาต่อยอด ซึ่งขึ้นกับจินตนาการของคุณ ว่าจะให้มันไปต่อยังไง พอคุณเริ่มสังเกตแล้ว คุณเอา 1+2 แล้ว 2+3 แล้ว 4+5 แล้วก็เอาสิ่งที่เรามี ความรู้ที่มีมาผสม เราก็จะได้วิธีการใหม่ๆ มันก็จะเกิดว้าวใหม่ๆ ได้ตลอด มันก็จะมีไอเดียอะไรใหม่ๆ ขึ้นมา มันก็สนุกดี

ฟังครีเอทีฟระดับโลกเปิดเผยความคิดแล้ว สมองของ โฮมมี่ นี่แล่นปู๊ดป๊าด คิดโน้น คิดนี่ ต่อไป...คงเปลี่ยนมุมมอง เปลี่ยนความคิด ต่อยอดจินตนาการ แล้วไปสร้างสรรค์อะไรดีๆ ได้แน่ๆ ...ต้องมีสักวัน! โฮมมี่ คิดเองเออเอง (ฮ่าๆ)

ส่วนทุกท่านจะเอาไปเป็นแบบอย่าง ไม่ว่าจะวิธีคิด การบริหารจัดการ มุมมองการทำงาน รวมไปถึงการดูแลลูกน้องพนักงาน ก็น่าจะดีไม่น้อย นี่คือความคิดของครีเอทีฟระดับโลกเชียวนะ.