- การตรวจคัดกรองโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ เป็นการตรวจหาระยะก่อนมะเร็งและหาเซลล์มะเร็งในผู้ป่วยที่ยังไม่มีอาการ หากพบความผิดปกติสามารถให้การรักษาได้ทันที เพิ่มโอกาสหายขาดและลดอัตราการเสียชีวิต
- เทคโนโลยีการส่องกล้องด้วยเทคนิค NBI จากประเทศญี่ปุ่น ที่นำมาใช้ควบคู่กับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ Artificial Intelligence (AI) ช่วยพัฒนาคุณภาพในการหารอยโรคในการส่องกล้องทางเดินอาหาร ทำให้สามารถเห็นติ่งเนื้อระยะต้นได้ชัดกว่าเทคนิคปกติถึง 1.5 เท่า
- เทคโนโลยี AI สามารถดูตำแหน่งติ่งเนื้อที่มีขนาดเล็กหรืออยู่ในตำแหน่งที่มองเห็นได้ยาก หากพบติ่งเนื้อ สามารถตัดออกได้ทันทีขณะตรวจ ลดการผ่าตัดเกินความจำเป็น
โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ เป็นมะเร็งที่พบบ่อยเป็นอันดับ 3 ในประเทศไทย โดยผู้ป่วยมักจะรู้ตัวว่าตัวเองเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ก็ต่อเมื่อเข้าสู่ระยะแพร่กระจายของโรคแล้ว ส่งผลให้ผู้ป่วยมีโอกาสเสียชีวิตสูง ดังนั้น การตรวจพบตั้งแต่ระยะแรกเริ่มและเข้ารับการรักษาอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ จะช่วยลดอัตราความเสี่ยงการเสียชีวิต และเพิ่มโอกาสในการรักษาให้หายได้มากขึ้น
มะเร็งลำไส้ใหญ่ คือ โรคที่เกิดจากความผิดปกติของเนื้อเยื่อลำไส้ใหญ่และลำไส้ตรง ที่มีการเปลี่ยนแปลงและแบ่งตัวอย่างต่อเนื่องจนไม่สามารถควบคุมได้ กลายเป็นก้อนหรือเนื้องอก ซึ่งในระยะแรกอาจเป็นเพียงแค่ติ่งเนื้องอกเล็กๆ หรือที่เรียกว่า Polyp แต่หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษาหรือตัดทิ้ง อาจพัฒนากลายเป็นมะเร็ง ที่สามารถทวีความรุนแรงจนลุกลามทะลุผนังลำไส้หรือแพร่กระจายต่อไปยังส่วนอื่นๆ ของร่างกายได้
...
ปัจจัยกระตุ้นให้ติ่งเนื้อ (Polyp) กลายเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่
- อายุมากกว่า 45 ปีขึ้นไป
- การดื่มเหล้า
- การสูบบุหรี่
- พฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น รับประทานเนื้อแดงเป็นประจำและปริมาณมาก รับประทานผักผลไม้น้อย ดื่มน้ำน้อย และขาดการออกกำลังกาย
อาการของโรคมะเร็งลำไส้
มะเร็งลำไส้ใหญ่เป็นโรคที่อาจไม่แสดงอาการผิดปกติใดๆ จนกว่าจะถึงระยะแพร่กระจายของโรค ซึ่งมักพบอาการ ดังนี้
- ท้องผูกสลับท้องเสียอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
- ท้องเสียเรื้อรัง
- ถ่ายอุจจาระเป็นสีดำหรือสีดำแดง อุจจาระเป็นเลือดสดหรือมีเลือดปน
- อุจจาระมีขนาดเล็กลง
- รู้สึกถ่ายไม่สุด ปวดหน่วงทวารหนัก
- อ่อนเพลีย อ่อนแรงจากภาวะโลหิตจาง หรือจากการขาดธาตุเหล็ก
- น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
- ปวดท้องเรื้อรัง โดยเฉพาะบริเวณท้องน้อย หรือคลำเจอก้อนบริเวณหน้าท้อง
การตรวจคัดกรองโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่
การตรวจคัดกรองโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ เป็นการตรวจหาระยะก่อนมะเร็งและหาเซลล์มะเร็งในผู้ป่วยที่ยังไม่มีอาการ หากพบความผิดปกติสามารถให้การรักษาได้ทันที ซึ่งจะช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น เพิ่มโอกาสหายขาดและลดอัตราการเสียชีวิตได้ โดยผู้ที่มีความเสี่ยงสูงและความเสี่ยงปานกลางนั้นควรได้รับการคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ตั้งแต่เนิ่นๆ
กลุ่มผู้มีความเสี่ยงสูง
- มีญาติสายตรงเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่หรือมีติ่งเนื้อ ถือว่ามีความเสี่ยงของโรคมะเร็งที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม
- มีโรคลำไส้ใหญ่อักเสบเรื้อรัง
กลุ่มผู้มีความเสี่ยงปานกลาง
- อายุ 45-50 ปี หรือ 50 ปีขึ้นไป แต่ไม่มีอาการผิดปกติ
- มีปัจจัยเสี่ยง เช่น ดื่มเหล้า / แอลกอฮอล์ สูบบุหรี่จำนวนมากติดต่อกันเป็นเวลานาน
- มีปัจจัยเสี่ยงเกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น รับประทานเนื้อแดงปริมาณมาก ไม่รับประทานผักผลไม้ และออกกำลังกายน้อย
...
การตรวจคัดกรองโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่
การตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ สามารถทำได้หลายวิธี จำแนกตามกลุ่มเสี่ยงได้ ดังนี้
1. กลุ่มผู้มีความเสี่ยงสูง ควรตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่โดยการส่องกล้องลำไส้ใหญ่ ซึ่งเป็นวิธีที่สามารถตรวจพบติ่งเนื้อได้ และหากพบติ่งเนื้อขนาดไม่ใหญ่จนเกินไป ก็สามารถตัดติ่งเนื้อได้ทันทีในขณะส่องกล้อง ซึ่งมีข้อมูลน่าสนใจว่า กว่า 90% ของการตรวจพบมะเร็งลำไส้ใหญ่จะเริ่มจากติ่งเนื้อขนาดเล็ก ซึ่งติ่งเนื้อชนิด adenoma ถือว่าเป็นระยะก่อนมะเร็ง (pre-cancerous lesion) และมีโอกาสดำเนินโรคในอนาคตได้ โดยใช้เวลา 5-10 ปี ก่อนที่จะกลายเป็นมะเร็ง
2. กลุ่มผู้มีความเสี่ยงปานกลาง สามารถทำได้หลายวิธี ได้แก่ การตรวจเลือดแฝงในอุจจาระ การสวนแป้งเอกซเรย์ การเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ลำไส้ใหญ่ หรือสามารถเลือกวิธีตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่โดยการส่องกล้องลำไส้ใหญ่ได้เช่นกัน
เทคนิคการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ด้วย Artificial Intelligence (AI) -assisted colonoscopy
โรงพยาบาลสมิติเวช ได้ร่วมมือทางการแพทย์กับโรงพยาบาลซาโน ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่มีชื่อเสียงระดับโลกและเป็นที่ยอมรับด้านความเชี่ยวชาญของการตัดติ่งเนื้อขนาดใหญ่ในลำไส้ใหญ่ตั้งแต่ระยะเริ่มต้นด้วยเทคนิคการส่องกล้องระบบทางเดินอาหาร โดยทางสมิติเวชได้ส่งแพทย์ไปเรียนรู้และแลกเปลี่ยนเทคนิค รวมถึงเพิ่มทักษะด้านการส่องกล้องและการผ่าตัดลำไส้ใหญ่ ในขณะเดียวกัน แพทย์จากโรงพยาบาลซาโน ประเทศญี่ปุ่น ได้เดินทางมาให้ความรู้และทำกรณีศึกษาให้กับคนไข้ที่สมิติเวชอย่างต่อเนื่องทุกปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558
...
หลักการของเทคนิค Narrow Band Image (NBI) จากญี่ปุ่น เป็นการใช้รังสีในช่วงความถี่สีเขียวและสีฟ้าฉายไปที่ผนังลำไส้ที่ดูดซึมสารเข้าไป เพื่อให้เห็นภาพของเส้นเลือดที่ผิวเยื่อบุทางเดินอาหารชัดเจนยิ่งขึ้น ซึ่งทำให้สังเกตเห็นคุณลักษณะที่ผิดปกติ 2 ชนิดได้ชัดเจนขึ้น ได้แก่ ลักษณะของผิวเยื่อบุที่เปลี่ยนไป และลักษณะแบบแผนของเส้นเลือดฝอยที่ผิดปกติไป จึงทำให้สามารถตรวจพบติ่งเนื้อแบบแบนราบที่หน้าตาเหมือนกับผิวลำไส้ (Serrated Polyp) ได้ด้วย
เทคโนโลยี EndoBRAIN
โปรแกรมการส่องกล้อง EndoBRAIN นั้นเรียกว่า EndoBRAIN-EYE เป็นโปรแกรมตรวจหาติ่งเนื้อที่เกิดขึ้นภายในระบบทางเดินอาหารส่วนล่าง สามารถใช้ร่วมกับกล้องส่องทางเดินอาหารส่วนล่าง หากพบติ่งเนื้อบริเวณลำไส้ใหญ่ จะทำการแจ้งเตือนให้แพทย์ผู้ใช้งานรับทราบบนจอมอนิเตอร์ทันที
...
โรงพยาบาลสมิติเวช ได้นำเทคนิค NBI จากญี่ปุ่น มาใช้ควบคู่กับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ Artificial Intelligence (AI) -assisted colonoscopy ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยพัฒนาคุณภาพในการหารอยโรคในการส่องกล้องทางเดินอาหาร โดยเรียกเทคนิคนี้ว่า EndoBRAIN ทำให้สามารถเห็นติ่งเนื้อระยะต้นได้ชัดกว่าเทคนิคปกติถึง 1.5 เท่า โดยเทคโนโลยี AI-assisted colonoscopy เป็นการจับภาพการส่องกล้องแบบเรียลไทม์ สามารถดูตำแหน่งติ่งเนื้อที่มีขนาดเล็กหรืออยู่ในตำแหน่งที่มองเห็นได้ยาก AI ก็จะกระพริบและส่งเสียงเตือน ส่งผลให้แพทย์มีโอกาสพบติ่งเนื้อขนาดเล็กเพิ่มขึ้น
จากการวิจัยมีการรวบรวมข้อมูลเมื่อเปรียบเทียบประสิทธิผลของการตรวจโดยใช้เทคนิค EndoBRAIN กับวิธีธรรมดา พบว่าการตรวจโดยใช้เทคนิค EndoBRAIN นั้น สามารถตรวจพบติ่งเนื้อได้มากขึ้นถึง 1.5 เท่า เปรียบเสมือนกับมีผู้ช่วยอันชาญฉลาดในตรวจหาติ่งเนื้อ รวมถึงสามารถตัดติ่งเนื้อออกได้ทันทีขณะตรวจ ช่วยให้คนไข้ไม่ต้องมาโรงพยาบาลและผ่าตัดเกินความจำเป็น
การรักษาโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่
- การผ่าตัด (Surgery) สามารถทำได้ในทุกระยะของโรค ทั้งนี้แพทย์อาจพิจารณาการรักษาควบคู่ไปกับการฉายรังสีและยาเคมีบำบัด
- ยาเคมีบำบัด (Chemotherapy) การรับประทานหรือฉีดยาเคมีบำบัดเข้าทางหลอดเลือดดำหรือกล้ามเนื้อ เพื่อให้ยาดูดซึมเข้าทางกระแสเลือด เพื่อออกฤทธิ์หยุดยั้งการแบ่งตัวหรือทำลายเซลล์มะเร็ง สามารถใช้ก่อนการผ่าตัดและ/หรือหลังผ่าตัดร่วมกับการฉายรังสีรักษาหรือไม่ก็ได้ ยาเคมีบำบัดอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงกับเซลล์ปกติและการทำงานของอวัยวะอื่นๆ เช่น มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร และผมร่วง
- การฉายรังสีรักษา (Radiation therapy) ด้วยคลื่นที่มีพลังงานสูง เพื่อทำลายหรือยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง รวมถึงยังช่วยลดอัตราการกลับเป็นซํ้า สามารถทำควบคู่ไปกับการให้เคมีบำบัด เพื่อให้การรักษาได้ผลดียิ่งขึ้น
- ยาเฉพาะเจาะจง (Targeted Therapy) เป็นการรักษาที่ตรงจุดเพื่อฆ่าเซลล์มะเร็งแบบไม่ทำลายเซลล์ข้างเคียงและมีผลข้างเคียงน้อย ส่วนใหญ่มักทำการรักษาร่วมกับการให้เคมีบำบัด โดยเลือกใช้ในกลุ่มที่มีการกระจายของมะเร็ง จากการศึกษาพบว่าการรักษาด้วยยาเฉพาะเจาะจงสามารถยืดระยะเวลาของการมีชีวิตอยู่ และช่วยให้มีระยะเวลาของการมีชีวิตอยู่โดยปราศจากโรคนานกว่าการให้การรักษาด้วยเคมีบำบัดเพียงอย่างเดียว
- ยาภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy) เป็นการกระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายตรวจจับและฆ่าเซลล์มะเร็งได้ดีขึ้น เพิ่มโอกาสในการมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น ส่วนใหญ่ใช้ในกลุ่มที่มีการกระจายของมะเร็ง และต้องมีการตรวจชิ้นเนื้อมะเร็งอย่างละเอียดเพื่อให้ได้ผลการรักษาที่มีประสิทธิภาพ
ขอบคุณข้อมูลจาก : พญ. วินิตา โอฬารลาภ อายุรศาสตร์โรคระบบทางเดินอาหาร โรงพยาบาลสมิติเวช