เพราะปัญหาริมฝีปากบาง เนื้อปากบนไม่สมดุลกับเนื้อปากล่าง ปากแห้งกร้านเป็นขุย มุมปากตก เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นได้โดยกรรมพันธุ์ และไม่ต้องรอให้อายุเยอะ ซึ่งปัจจุบันมีวิธีรักษาโดยไม่ต้องผ่าตัด แถมไม่ต้องเสียเวลาพักฟื้นเพื่อรักษาแผลให้ยุ่งยาก ด้วยวิธีหัตถการเติมเต็มผิวปาก หรือที่เรียกว่า “ฉีดฟิลเลอร์ปาก” นั่นเอง ผลลัพธ์ที่ได้ นอกจากจะแก้ไขข้อบกพร่องของรูปทรงปากแล้ว ยังส่งผลต่อบุคลิกภาพที่ดีขึ้น ยิ้มสวยขึ้น มีเสน่ห์เข้าตามตำราโหงวเฮ้ง แต่ทว่า การฉีดฟิลเลอร์ปากให้สวยเป็นธรรมชาติ ได้ทรงปากกระจับไร้ที่ติ จะต้องใช้ปริมาณฟิลเลอร์กี่ CC บทความนี้มีคำตอบ

ฟิลเลอร์ปาก คืออะไร

ฟิลเลอร์ปาก คือการฉีดนำเอาสารเติมเต็ม Hyaluronic acid ที่มีคุณสมบัติอุ้มน้ำ ทำให้ผิวปากอวบอิ่มมีน้ำมีนวลขึ้น พร้อมๆ กับสามารถปรับรูปทรงปากได้ตามทรงที่ต้องการ โดยไม่ระคายเคืองผิวหนัง และเห็นผลลัพธ์ทันทีหลังฉีดเสร็จ โดยไม่ทิ้งรอยแผล ไม่ต้องเสียเวลาพักฟื้น เรียกได้ว่าทำเสร็จปุ๊บ สามารถไปทำกิจกรรมอื่น ๆ ในชีวิตประจำวันได้ทันที

ฟิลเลอร์ปาก อันตรายไหม

การฉีดฟิลเลอร์ปากมีความเสี่ยงน้อย และยังมีความปลอดภัยต่อสุขอนามัยในช่องปากอีกด้วย ซึ่งในปัจจุบันมีให้เลือกหลายยี่ห้อ ที่ผ่านอย.ไทยเรียบร้อยแล้ว แต่ก็ควรฉีดกับหมอที่น่าเชื่อถือ มีประสบการณ์สูง ถึงจะให้ผลดี ไม่เสี่ยงเจอผลข้างเคียงแย่ ๆ

ฟิลเลอร์ปาก เหมาะกับใคร

การฉีดฟิลเลอร์ปาก แน่นอนว่าสามารถทำได้ทุกเพศ อายุตั้งแต่ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป เพื่อปรับปรุงข้อบกพร่องของรูปปาก และเพื่อแก้ปัญหาสุขภาพผิวหนังปากได้ในคราวเดียวกัน โดยกลุ่มคนที่เหมาะกับฉีดฟิลเลอร์ปาก ได้แก่

● คนที่มีลักษณะขอบปากไม่ชัด ไม่ได้รูปตั้งแต่กำเนิด
● คนที่เริ่มมีริมฝีปากบางลงเรื่อย ๆ จากอายุที่มากขึ้น
● คนที่ริมฝีปากแห้ง เป็นร่อง จากภาวะผิวขาดน้ำ ทำให้หน้าโดยรวมดูแก่กว่าอายุ
● คนที่ริมฝีปากหนามากเกินไป หรือบางเกินไม่ได้สัดส่วน
● คนที่ประสบปัญหารูปปากแหว่ง เนื้อปากบกพร่อง จากการศัลยกรรมผ่าตัดริมฝีปากมาก่อนหน้านี้

ฟิลเลอร์ปาก ไม่เหมาะกับใคร

แม้ว่าฟิลเลอร์ปาก จะเป็นหัตถการเติมเต็มผิวหนังที่มีความเสี่ยงน้อย แต่ก็ต้องคำนึงถึงสุขภาพ และโรคภัยไข้เจ็บที่อาจกระทบทั้งก่อนและหลังฉีด ดังนั้นจึงไม่เหมาะกับกลุ่มคนดังต่อไปนี้

● ผู้ที่มีประวัติแพ้สารเติมเต็มชนิดไฮยาลูรอนิก
● ผู้ที่ต้องการเห็นผลลัพธ์ถาวรตลอดไปในครั้งเดียว
● ผู้ที่มีแผลรั้งริมฝีปากจากการผ่าตัด จำเป็นต้องรักษาให้หายสนิทก่อนฉีดฟิลเลอร์ปาก
● ผู้ป่วยเกี่ยวกับช่องปาก เช่น โรคเริม หรืองูสวัด
● ผู้ที่มีประวัติแพ้ยาชา
● ผู้หญิงตั้งครรภ์ หรือกำลังให้นมบุตร
● ผู้ที่เป็นแผลคีลอยด์ หรือมีประวัติเป็นแผลเป็นได้ง่าย

โหงวเฮ้งรูปปากดี-ไม่ดี

ลักษณะของริมฝีปากในเชิงโหราศาสตร์จีน หรือที่เรียกว่า “โหงวเฮ้ง” สามารถบ่งบอกได้ถึงดวงชะตา เสน่ห์ชวนมองต่อผู้พบเห็น หรือแม้แต่ทำนายความประสบความสำเร็จในอาชีพการงานและครอบครัวในอนาคตได้อีกด้วย ซึ่งแบ่งลักษณะทั้งดีและไม่ดีได้ดังนี้

ทรงปากที่เหมาะกับฉีดฟิลเลอร์ปากคนไทย

เพราะคนไทยมีสันกรามใหญ่ หน้าสั้น มิติของตา จมูก ปาก ไม่คมชัดเท่าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ดังนั้นการฉีดฟิลเลอร์ปากที่เหมาะสม จะต้องคำนึงถึงความสมดุลและกลมกลืนเป็นธรรมชาติ มาเป็นอันดับหนึ่ง ซึ่งหลักๆ เลยก็จะมีอยู่ 2 ทรง คือ ทรงปากกระจับ และ ทรงปากสายฝอ ที่ได้รับความนิยมมาจากฝั่งตะวันตก ซึ่งสามารถทำได้ แต่ต้องไม่ใหญ่หนา-นูน จนเกินไป เพราะจะทำให้หน้าดุ เกินกว่าที่จะมองว่าเซ็กซี่หรือเย้ายวน

ทรงปากกระจับ สายเกา (เกาหลี)

● ริมฝีปากอวบอิ่มและหนาแบบพอดี คล้ายปีกนก
● มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย ได้รูปทรงเป็นกระจับ
● มุมปาก-ขอบปากสีอมชมพู ไม่ดำคล้ำ

ทรงปากสายฝอ (ฝรั่ง)

● ริมฝีปากบนบางคล้ายผลเชอรี่
● ริมฝีปากล่างอวบอิ่ม และหนามาก
● มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย
● เนื้อปากอมชมพู โดยเฉพาะเนื้อปากล่างอิ่มน้ำดูสุขภาพดีมากเป็นพิเศษ

ฉีดฟิลเลอร์ปาก VS ศัลยกรรมรูปปาก ต่างกันยังไง

การฉีดฟิลเลอร์ปาก จะเน้นการปรับทรงรูปปากได้หลากหลาย เช่น ทำให้ปากอวบอิ่ม จัดทรงปากให้ได้รูปกระจับ ยกมุมปากขึ้นให้ดูเซ็กซี่ โดยไม่ต้องผ่าตัดแต่งเอาเนื้อปากออก

ในขณะที่ การผ่าตัดปาก จำเป็นต้องเอาเนื้อส่วนเกินของปากออกแบบถาวร และต้องใช้เวลาพักฟื้น ดูแลแผลหลังผ่าตัด และต้องทำโดยศัลยแพทย์ด้านผิวหนังและการผ่าตัดที่เชี่ยวชาญมาก เพื่อไม่ให้เกิดผลข้างเคียงไม่พึงประสงค์ เช่น แผลติดเชื้อระหว่างผ่าตัด รอยแผลเป็นจากศิลปะการกรีดแผล เป็นต้น

ข้อดี-ข้อเสีย จากการฉีดฟิลเลอร์ปาก

ก่อนเข้ารับการฉีดฟิลเลอร์ปาก อยากจะแนะนำให้เปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสีย ก่อนตัดสินใจ เพื่อช่วยให้ประเมินความคุ้มค่าของการฉีดฟิลเลอร์ปาก ในครั้งนั้น ๆ ได้ดีมากขึ้น

●ข้อดีจากการฉีดฟิลเลอร์ปาก

  • ช่วยแก้ปัญหาสุขภาพริมฝีปากได้ดี เช่น ปัญหาปากแห้ง ปากแตกเป็นขุย ได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว และเห็นผลชัดกว่าการทาลิปบำรุง
  • ไม่มีแผล ไม่ต้องผ่าตัด
  • ไม่ต้องพักฟื้น
  • เห็นผลทันทีหลังทำเสร็จ
  • หากมีข้อผิดพลาด หรือต้องการเติมแก้ทรงปาก สามารถปรับแก้ได้ตลอดเวลา

● ข้อเสียจากการฉีดฟิลเลอร์ปาก

  • ผลลัพธ์อยู่ชั่วคราว หากต้องการคงรูปปากเดิมไว้ จำเป็นต้องฉีดซ้ำเรื่อย ๆ
  • ภาวะบวมนูน และขรุขระบริเวณที่ฉีด เกิดขึ้นได้จากการที่ตัวยายังไม่เซตตัวในช่วงแรกหลังฉีด
  • ภาวะฟกช้ำ ผิวบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ปากอาจเขียวช้ำ โดยเฉพาะผู้ที่มีผิวบอบบางจะเห็นชัดเป็นพิเศษ แต่จะค่อย ๆ หายเป็นปกติภายใน 3 วัน
  • เกิดก้อนบวม ทำผิวผิดรูป ซึ่งเป็นผลระยะยาว จากการที่แพทย์เลือกชนิดฟิลเลอร์ไม่เหมาะสมกับการฉีดบริเวณปาก เช่น อาจเลือกฟิลเลอร์เนื้อแข็ง และอีกกรณีที่ร้ายแรงคือ ฉีดโดยฟิลเลอร์ปลอม

ฟิลเลอร์ปาก ฉีดกี่ CC ถึงเห็นผล

โดยปกติแล้วพื้นที่ปากของคนเราหากมีข้อบกพร่อง เช่น บางเกินไป หรือเนื้อปากบนล่างไม่อวบอิ่มสมมาตรกัน จะใช้ฟิลเลอร์ประมาณ 1 CC ก็สามารถแก้ปัญหาและเติมเต็มจนได้รูปปากที่สวย เป็นธรรมชาติอยู่ แต่ทั้งนี้เทรนด์รูปทรงปากสายฝอก็ได้รับความนิยมไม่น้อย ในบางคนอาจต้องการเพิ่มความวอลุ่มและความหนาของปากมากเป็นพิเศษ แพทย์อาจจะเพิ่มปริมาณฟิลเลอร์ให้ตามความเหมาะสม แต่จะไม่เกิน 2 CC อย่างแน่นอน

ฟิลเลอร์ปาก อยู่ได้นานเท่าไหร่

สำหรับฟิลเลอร์ที่เหมาะกับการฉีดปรับรูปปาก ส่วนใหญ่จะอยู่ได้นานประมาณ 16 - 18 เดือน ขึ้นอยู่กับการดูแลหลังฉีดของแต่ละบุคคลด้วย แม้ว่าหลังฉีดจะไม่ต้องพักฟื้น แต่ก็ยังต้องรอให้ฟิลเลอร์เซตตัว จึงจะค่อย ๆ เห็นผลลัพธ์ชัดเจนที่สุดประมาณ 2 สัปดาห์

ฟิลเลอร์ปากแท้ ดูยังไง

● ฟิลเลอร์แท้จะต้องเป็นฟิลเลอร์ชนิดชั่วคราว และต้องเป็นสารเติมเต็มชนิดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid Filler) เท่านั้น
● จะต้องผ่านการรับรอง อย. ไทย และติดฉลากบริษัทผลิต วันหมดอายุ และราคาอย่างชัดเจน
● ที่กล่องฟิลเลอร์ / ขวดยา จะมีเลขล็อตสินค้า (lot number) ตรงกันทั้งหมด
● ปริมาณตัวยา CC จะต้องตรงกับมาตรฐานการผลิตของบริษัท ไม่ขาด ไม่เกิน เพราะถ้าเช่นนั้นจะเป็นฟิลเลอร์ปลอมทันที

ฉีดฟิลเลอร์ปากปลอม ส่งผลเสียอย่างไรบ้าง

แน่นอนว่าหากเลือกฉีดฟิลเลอร์กับสถานพยาบาลที่ไม่น่าเชื่อถือ หรือฉีดกับแพทย์ที่เช็กประวัติไม่ได้ เช่น หมอกระเป๋า ย่อมเสี่ยงที่จะเจอฟิลเลอร์ปลอมสูงมาก และแทบไม่ต้องสืบถึงผลที่ตามมาว่าจะไปทำลายผิวหนังโดยตรงมากแค่ไหน ไม่ว่าจะเป็น

● ผิวปากอักเสบ บวมแดง และอาจจะมีอาการคันยิบ ๆ เป็น ๆ หาย ๆ
● ผิวปากม่วงช้ำเขียว เพราะฟิลเลอร์ปลอมไปอุดตันในเส้นเลือด
● ผิวปากเน่า มีอาการช้ำหนอง เป็นแผลเหวอะหวะ
● สูญเสียผิวปากบางส่วนไป และแน่นอนว่าไม่สามารถแก้กลับ หรือเติมเต็มให้สมบูรณ์เหมือนเดิมได้

ฟิลเลอร์ปาก ยี่ห้อไหนดี

คุณสมบัติฟิลเลอร์ที่เหมาะกับการเติมเต็มรูปทรงปาก ประการแรกเลยคือ จะต้องเป็นสารเติมเต็มชนิดกรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid – HA) เท่านั้น และอันดับต่อมาคือต้องมีเนื้อนุ่มเป็นพิเศษ พร้อมกับมีความหนาแน่น เพื่ออุ้มน้ำให้ผิวปากอวบอิ่มและชุ่มชื่นได้นาน ไม่สลายตัวง่าย ไม่ทำให้เกิดร่องปาก หรือแห้งแตกเป็นขุย ซึ่งปัจจุบันยี่ห้อฟิลเลอร์ที่นิยมฉีดเพื่อปรับรูปทรงปากมีอยู่ 4 ยี่ห้อ ได้แก่

1. ฟิลเลอร์ปาก Juvederm (ประเทศสหรัฐอเมริกา)

คุณสมบัติเฉพาะ

  • ใช้สารกรดไฮยาลูโรนิกที่มีคุณภาพสูงเป็นหลัก
  • มีความยืดหยุ่นสูง ไม่จับเป็นก้อน
  • มอบความชุ่มชื่น อวบอิ่มน้ำให้กับริมฝีปากได้ดี
  • อยู่ได้นาน หรือประมาณ 8 - 18 เดือน

รุ่นฟิลเลอร์ Juvederm ที่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์ปาก

  • Juvederm Volite
  • Juvederm Volift
  • Juvederm Ultra Plus
  • Juvederm Voluma

2. ฟิลเลอร์ปาก Restylane (ประเทศสวีเดน)

คุณสมบัติเฉพาะ

  • ใช้สารกรดไฮยาลูโรนิกที่มีคุณภาพสูงเป็นหลัก
  • มีเทคโนโลยีการผลิตเฉพาะ คือ NASHA (Non-Animal Stabilized Hyaluronic Acid) และ OBT (Optimal Balance Technology) คือ ให้ความยืดหยุ่นและเติมเต็มความหนาแน่นให้ริมฝีปากได้ในคราวเดียว
  • อยู่ได้นานประมาณ 6 - 18 เดือน

รุ่นฟิลเลอร์ Restylane ที่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์ปาก

  • Restylane Volyme
  • Restylane Kysse
  • Restylane Vital light
  • Restylane Refyne

3. ฟิลเลอร์ปาก Belotero (ประเทศเยอรมนี)

คุณสมบัติเฉพาะ

  • ใช้สารกรดไฮยาลูโรนิกที่มีคุณภาพสูงเป็นหลัก
  • มีเทคโนโลยีเนื้อเจลเฉพาะแบบ DCL คือมอบความยืดหยุ่นให้พร้อมกับแนบสมานไปกลมกลืนไปกับผิวได้อย่างเป็นธรรมชาติ
  • เนื้อเจลละเอียดมากและอุ้มน้ำได้ดี จึงมอบความชุ่มชื่นให้ผิวปากได้ยาวนาน
  • อยู่ได้นานประมาณ 6 - 12 เดือน

รุ่นฟิลเลอร์ Belotero ที่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์ปาก

  • Belotero Lips
  • Belotero Balance
  • Belotero Soft

4. ฟิลเลอร์ปาก Yvoire (ประเทศเกาหลีใต้)

คุณสมบัติเฉพาะ

  • มีเทคโนโลยีการผลิตเฉพาะคือ HICE Technology ทำให้เนื้อฟิลเลอร์กระจายตัวได้ดี ไม่จับเป็นก้อน และเนียนไปกับผิวได้อย่างเป็นธรรมชาติ
  • เนื้อฟิลเลอร์คงทน สลายยาก ใช้ระยะเวลาในการสลายนานถึง 6 - 18 เดือน

รุ่นฟิลเลอร์ Yvoire ที่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์ปาก

  • Yvoire Volume Plus (กล่องม่วง)
  • Yvoire Classic Plus (กล่องเขียว)

ฟิลเลอร์ปาก 1 CC ราคาเท่าไหร่

สำหรับราคาเข้ารับบริการฉีดฟิลเลอร์ปาก มีราคาไม่เท่ากันทุกเคส เนื่องจากปริมาณในการเติมเต็มไม่เท่ากันทุกคน และฟิลเลอร์แต่ละยี่ห้อ ก็มีราคาไม่เท่ากัน แต่โดยประมาณแล้วจะเริ่มต้นที่ 15,000 บาทต่อ 1 CC เป็นต้นไป

วิธีดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์ปากครั้งแรก

● หลีกเลี่ยงการกินของร้อน หรือใช้เครื่องสำอางที่อาจระคายเคืองผิวปากประมาณ 1 - 2 สัปดาห์หลังฉีดฟิลเลอร์ปาก
● ดื่มน้ำสะอาดมาก ๆ หรืออย่างน้อยวันละ 2 - 3 ลิตร เพื่อให้ฟิลเลอร์ที่มีคุณสมบัติอุ้มน้ำอยู่แล้ว เพิ่มความอวบอิ่มของน้ำที่ดื่มเข้าไปอีก
● หลังฉีดฟิลเลอร์ปาก หากมีอาการปวดในครั้งแรก สามารถกินยาแก้ปวดได้ ในปริมาณ 1 - 2 เม็ด ขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัว
● หลีกเลี่ยงการโดนความร้อน เช่น แสงแดด หัตถการเลเซอร์ ซาวน่า เพื่อไม่ให้บริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ระคายเคือง และมีผลต่อการเซตตัวของเนื้อฟิลเลอร์

สรุป ฉีดฟิลเลอร์ปาก ใช้กี่ CC ถึงได้ผลลัพธ์สวย

ด้วยพื้นฐานของผิวหนังปากแต่ละคน มีความหนาบางไม่เท่ากัน แต่อยู่ในตำแหน่งที่มีการขยับบ่อยเหมือนกันหมด เพราะต้องเผชิญกับการขยับปากพูด เม้มปาก หรือแม้แต่เคี้ยวอาหารในชีวิตประจำวัน ดังนั้นอันดับแรกก่อนที่จะเลือกปริมาณฟิลเลอร์ ควรเลือกคุณสมบัติ/ยี่ห้อ/รุ่นของฟิลเลอร์ที่เหมาะกับการฉีดเติมเต็มปากเสียก่อน เช่น Restylane Kysse ที่มีความยืดหยุ่นสูง เนื้อละเอียด สร้างวอลุ่มให้ปากได้ดีพร้อม ๆ กับปรับสีผิวปากให้สว่างสดใส หรือหากใครที่ต้องการทำปากทรงสายฝอ อาจเลือกใช้ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Juvederm รุ่น Ultra Plus ที่มีเนื้อนิ่มและฟูได้มากแถมสลายตัวช้า ทนทานต่อการเสียดสี ส่วนปริมาณในการฉีดจะอยู่ที่ 1 - 2 CC ก็จะให้ความสวย แถมได้รูปปากตามที่ใจต้องการ