ปัจจุบันมีผู้ป่วยโรคภูมิแพ้เพิ่มมากขึ้น 3–4 เท่า หากเทียบกับ 10 ปีที่ผ่านมา โดยข้อมูลสถิติของสมาคมโรคภูมิแพ้และอิมมูโนวิทยาแห่งประเทศไทย พบว่า เด็กไทยเป็นโรคภูมิแพ้สูงถึงร้อยละ 38 และผู้ใหญ่เป็นโรคภูมิแพ้ประมาณร้อยละ 20 โดยสาเหตุส่วนใหญ่มาจาก

  • กรรมพันธุ์
  • มลภาวะ
  • สูบบุหรี่
  • ขาดการออกกำลังกาย
  • สภาพแวดล้อมภายในที่พักอาศัย เช่น เลี้ยงสัตว์ ปูพรม เครื่องปรับอากาศ ซึ่งเป็นแหล่งสะสมฝุ่นละอองและไรฝุ่นชั้นดี

การออกกำลังกาย เป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยบรรเทาและลดอาการภูมิแพ้อย่างได้ผลและยั่งยืน ซึ่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุชาดา เสาเวียง ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายกิจการนักศึกษา วิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการกีฬา มหาวิทยาลัยมหิดล ได้กล่าวถึงงานวิจัยด้านวิทย์กีฬาที่แบ่งกลุ่มตัวอย่างออกเป็น 3 กลุ่มเพื่อดูการทดลองใน 8 สัปดาห์ โดยกำหนดให้

  • กลุ่มที่ 1 ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม และสม่ำเสมอเพียงอย่างเดียว
  • กลุ่มที่ 2 ไม่ออกกำลังกายเลย
  • กลุ่มที่ 3 ออกกำลังกายพร้อมรับประทานวิตามินซี

ผลการทดลองพบว่า กลุ่มที่ 1 และกลุ่มที่ 3 ได้ผลดีเท่ากัน จึงได้นำมาสู่บทสรุปให้เห็นถึงผลดีของการออกกำลังกาย ซึ่งจะเกิดขึ้นจนกลายเป็นนิสัยเมื่อทำติดต่อกันได้อย่างน้อย 2 สัปดาห์ขึ้นไป

จากผลการทดลองอาสาสมัคร 3 กลุ่ม พบว่า กลุ่มที่ออกกำลังกายแต่พอดีและสม่ำเสมอ กับกลุ่มที่ออกกำลังกายพร้อมกินวิตามินซี ได้ผลในการต้านโรคภูมิแพ้ได้ดีเท่ากัน (ภาพจาก iStock)
จากผลการทดลองอาสาสมัคร 3 กลุ่ม พบว่า กลุ่มที่ออกกำลังกายแต่พอดีและสม่ำเสมอ กับกลุ่มที่ออกกำลังกายพร้อมกินวิตามินซี ได้ผลในการต้านโรคภูมิแพ้ได้ดีเท่ากัน (ภาพจาก iStock)

...

นอกจากนี้ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุชาดา เสาเวียง ได้มอบ “สูตรการออกกำลังเพื่อการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันร่างกาย” โดยวัดจากอัตราการเต้นของหัวใจสูงสุดขณะออกกำลังกาย ใช้สูตร 220 ลบด้วยอายุ เช่น

หากอายุ 20 ปี ใช้ 220-20 = 200 ถือเป็นความหนักสูงสุด (หนัก 100%) โดยความหนักที่เหมาะสมเพื่อการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันร่างกายจะอยู่ที่ความหนัก 60-80% หรือขณะออกกำลังกาย มีอาการหอบเล็กน้อย และยังพูดเป็นประโยค ถาม-ตอบได้

อย่างไรก็ตาม การออกกำลังกายหนักเกินไป จะส่งผลเสียมากกว่าผลดี เนื่องจากภูมิคุ้มกันจะถูกกระตุ้นมากจนเกินไปขณะออกกำลังกาย พอหยุดพักภูมิคุ้มกันจะตกลงเป็นระยะเวลาประมาณ 3-72 ชั่วโมง หรือนานกว่านั้น ทำให้เป็นหวัด ติดเชื้อได้ง่าย

ดังนั้นการออกกำลังกายที่เหมาะสมและได้ผลต่อการสร้างภูมิคุ้มกันร่างกายอย่างต่อเนื่อง ตามที่ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุชาดา เสาเวียง แนะนำคือ การออกกำลังกายประเภทแอโรบิกที่ความ “หนักปานกลาง” 3-5 ครั้ง/สัปดาห์ นานครั้งละ 30-60 นาที เช่น “วิ่ง-ว่าย-พาย-ปั่น” ซึ่งหากทำได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากจะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายแล้ว ยังช่วยทำให้น้ำหนักส่วนเกินลดลงได้อีกด้วย

การออกกำลังกายที่ความหนักปานกลาง ครั้งละ 30-60 นาที อาทิตย์ละ 3-5 วัน ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันต้านโรคภูมิแพ้และลดน้ำหนักส่วนเกินได้ (ภาพจาก iStock)
การออกกำลังกายที่ความหนักปานกลาง ครั้งละ 30-60 นาที อาทิตย์ละ 3-5 วัน ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันต้านโรคภูมิแพ้และลดน้ำหนักส่วนเกินได้ (ภาพจาก iStock)

ในกรณีที่มีอาการภูมิแพ้เกิดขึ้นระหว่างการออกกำลังกาย มีอาการปากบวมเจ่อ คลื่นไส้ หลอดลมตีบ ตลอดจนความดันโลหิตต่ำลง ฯลฯ ควรหยุดพักพ่นยา หรือรับประทานยาเพื่อบรรเทาอาการภูมิแพ้ที่เกิดขึ้นก่อน

หากเกิดอาการรุนแรงโดยไม่มียา ควรช่วยเหลือด้วยการให้ผู้มีอาการดังกล่าวหยุดออกกำลังกาย นอนพักโดยยกขาสูง เพื่อให้เลือดหล่อเลี้ยงสมอง และป้องกันอาการหัวใจล้มเหลว ก่อนเรียกรถพยาบาลส่งถึงมือแพทย์

นอกจากนี้ การออกกำลังกายที่เหมาะสมและเพียงพอจะช่วยทำให้ร่างกายลดความไวต่อ “สารฮิสตามีน” ซึ่งทำให้ความไวต่อสิ่งกระตุ้นโรคภูมิแพ้ลดลง ทำให้อาการภูมิแพ้บรรเทาลงนั่นเอง แม้แต่ผู้ที่มีอาการภูมิแพ้ตั้งแต่กำเนิด หากรับประทานยาเพื่อควบคุมอาการอย่างเคร่งครัด และออกกำลังกายอย่างเหมาะสมและต่อเนื่อง จะทำให้มีร่างกายที่แข็งแรงพร้อมสู้โรค เนื่องจากมีภูมิคุ้มกันร่างกายสูงขึ้น และจะทำให้สามารถพัฒนาสมรรถภาพสู่การเป็นนักกีฬามืออาชีพเช่นเดียวกับคนทั่วไปได้ต่อไปในอนาคต

ข้อมูลอ้างอิง : โรงพยาบาลกรุงเทพ, มหาวิทยาลัยมหิดล